ถึงจะไม่เคยนั่งแทกซีื่เหลืองที่นิวยอร์ก (ตอนไป Outlet นั่นไม่ถือว่านับละกัน เพราะเหมารถกันไปทั้งวัน แถมไม่ใช่รถแทกซี่สีเหลืองแบบวิ่งในเมืองด้วย) แต่ด้วยความที่เคยไปนิวยอร์ก และเคยนั่งแทกซี่ ก็เลยจินตนาการตามไปได้อย่างไม่ยากเย็น (แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไป ก็ลองหยิบมาอ่านดูละกัน รับประกันความมันส์)
หลายๆคนก็น่าจะเป็นเหมือนเรา คือเวลาที่ได้อ่านหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวของคนคนหนึ่ง หรือกลุ่มนึง ในมุมมองของเขาที่เราอาจจะไม่เคยรับรู้ เราก็มักจะรู้สึก 'เห็นใจ' ไปกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย
เช่น อ่าน 'พลังแห่งความสำเร็จ สตาร์บัคส์' แล้วก็รู้สึกดีกับสตาร์บั๊ก อ่าน 'Happy แบรนด์พลิกคน คนพลิกแบรนด์' ของ ธนา เธียรอัจฉริยะ ก็ปลื้มกับ DTAC (ถึงตอนนี้จะใช้ทรูมูฟก็เหอะ ฮี่)
ดังนั้น อ่าน Yellow Cabby ก็น่าจะเห็นใจแทกซี่บ้าง...
... แต่ ถ้าแทกซี่ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ คงไม่มีวันซะล่ะ...
... เชื่อว่า ถามคนร้อยทั้งร้อย ทุกคนต้องมีประสบการณ์เห่ยๆ กับการนั่งแทกซี่มาแล้ว... และหลายคนคงจะหลายครั้งด้วย
บางเรื่องก็พอจะเห็นใจพี่แกนะ นั่งรอคิวที่หมอชิตสองตั้งนาน แต่ดันให้ไปส่งแค่เซ็นทรัลแค่เนี้ยะ ก็น่าเคืองอยู่หรอก แต่ขอโทษเหอะ พี่แกเล่นโวยวาย อารมณ์เสีย บ่นงึมงำตลอดทาง ขับรถกระชากไปมา... ตอนแรกก็หวังจะให้เงินเกินอยู่หรอกนะ แต่เล่นแบบนี้อย่าหวังจะได้แอ้ม...
ไม่ก็ นั่งแทกซี่กันมาหลายคน พอตูลงระหว่างทาง มันจะเก็บตังคนที่เหลือเพิ่มซะงั้น ไม่งั้นไม่ไปต่อ ดูดู๊ดู ดูมันทำ รู้ว่าถ้าไม่ไปต่อกับมันก็ต้องเสียอีก 35 บาท เลวจริงๆ
และไม่ต้องพูดถึงแทกซี่ซิ่งนรก ไม่รู้ไปกินยาอะไรมา โน่นเลย จะเลี้ยวขวาที่สี่แยก พี่แกแซงขวา วิ่งเลนสวน! แมร่งงงงง แยกอยู่ตั้งไกล แกก็ดันจะวิ่งเลนสวน (เพราะตอนนั้นไฟเลี้ยวขวาเปิด เลยไม่มีรถวิ่งสวนมา) พี่แกเหยียบปื๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แต่ขอโทษ ... ไม่ทันว่ะ ... ตูล่ะกลั้นหายใจลุ้นแทบตายย ไฟแดงซะงั้น เลยได้กลั้นหายใจต่อ เพราะรถแทกซี่ดันไปขวางเลนสวนเค้าไว้ ทำให้รถอีกฝั่งต้องเบียดกันเอง -_-
แต่ทั้งหมดนี้ คงไม่มีอะไรน่ารำคาญไปกว่า การ 'ไม่รับผู้โดยสาร'
ในพันทิปก็มีคนบ่นจนขึ้นกระทู้แนะนำกันแล้ว
ไม่เป็นไร ขอบ่นที่นี่อีกคนนึง
อุตส่าห์เดินข้ามไปฝั่งสวนลุมไนท์ จะได้ขึ้นทางด่วนสบายๆไม่ต้องอ้อม... อะ เห็นมีแทกซี่จอดอยู่สองคันหน้าทางออกรถใต้ดิน ก็เดินเข้าปายย
'ไปเซ็นทรัลลาดพร้าวครับ'
'...' (ส่ายหน้าหงึๆ ไม่ไป)
ชิ
เอาละ่ คันหลังก็ได้ พี่คนขับแกน่าจะรอลูกค้ามาพักนึงแล้ว เพราะแกออกมายืนนอกรถกินลมไปพลางๆ
'ไปเซ็นทรัลลาดพร้าวครับ'
'อ๋อ ไม่ไปครับ รอแฟนอยู่'
"..."
คงไม่ต้องบอกว่าหลังจากเดินให้หลังไม่ถึงนาที พอฝรั่งมาปุ๊บ พี่แกออกรถไปทั้งสองคัน
(แฟน พ่-งสิวะ เป็นลุงอ้วนฝรั่งหัวโล้น)
ความอดทนใกล้ถึงขีดจำกัด ฝากความหวังไว้อีกคันนึง
แหม คราวนี้เจอแทกซี่ดีครับ น้ำใจงามมาก หลังจากทราบจุดหมายแล้วก็ยิ้มงามๆ และเอ่ยปากว่า
"โหย เซนทรัลลาดพร้าว มันไกลนะพี่ ไม่มีใครไปหรอก ทำไมพี่ไม่นั่งรถไฟฟ้าอะ เร็วกว่าด้วย"
"....."
แทบจะน้ำตาไหลไปกับความหวังดีของมัน ไม่ก็ให้กับความแอ๊บโง่หาที่ไม่รู้จะหาใครเทียบได้ แหม่ คนที่เขานั่งรถใต้ดินคงไม่มาโบกแทกซี่ให้เมื่อยหรอกมั้ง ประตูก็อยู่ข้างหน้าเนี่ย!@#)(#)$!@#
น่าสงสารคนไทยจริงๆ... กระทั่งอยู่ในประเทศตัวเองยังเป็นพลเมืองชั้นสอง แล้วจะมีที่ไหนมั้ยเนี่ยที่ treat พวกเราเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง
จริงๆแล้วพี่แทกซี่ที่แสนดีคนนั้น ก็น่าจะพูดไปเลยนะว่า 'โหย พี่นั่งใต้ดินไปเหอะ โบกอีกสิบคันก็คงไ่ม่มีใครไปหรอก แถวนี้เค้ารอจอดรับฝรั่งทั้งนั้นแหละ'
(!? งงเหรอ)
Boot Camp คือโปรแกรมที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของ Apple ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ (OS) Mac OS สามารถทำการติดตั้งและเลือกที่จะรัน Windows (ระบบปฏิบัิติการที่ทุกคนคุ้นเคยอยู่) ได้
จริงๆแล้ว วิธีรัน Windows บน Mac นั้นมีอยู่สองวิธีใหญ่ๆด้วยกัน ถ้าจะให้เห็นภาพก็ลองนึกถึงคนหลายใจ ชอบจับปลาสองมือ รักพี่เสียดายน้อง ปกติมี Mac คนเดียวไม่ชอบ ต้องมี Windows อีกคน ซึ่งก็มีอยู่สองวิธีว่าจะอยู่กันยังไง
วิธีแรกคือ แบ่งที่ดิน (Harddisk) ออกไปสร้างบ้านสองหลัง (Partition) หลังนึงให้แม็ค หลังนึงให้วินโดวส์ วิธีนี้จะทำให้ทั้งสองคนอยู่ตัวใครตัวมัน ไม่ต้องแย่งทรัพยากรกันใช้ ก็เลยทำงานได้มีประสิทธิภาพ แต่ไม่เหมาะสำหรับคนหลายใจที่ยังไม่ฟันธง ไม่อยากแบ่งบ้านให้ใครเป็นเลขตายตัว หรือพวกประเภทที่ขี้เกียจเดินทางระหว่างบ้านสองหลัง เพราะต้องออกจากบ้าน (Reset) วิธีนี้คือการทำแบบใช้ Boot Camp
วิธีที่สอง คือ ไม่แบ่งที่ดิน ใช้บ้านหลังเดียวเท่านั้น โดย Mac เป็นเมียหลวง Windows เป็นเมียน้อย ซึ่งออกจะน่าสงสาร เพราะมีพื้นที่เท่าที่ตัวเองจำเป็นต้องใช้เท่านั้น ข้าวของเยอะขึ้นก็ขยายห้องได้ แต่ก็ไม่สามารถเกินโควต้าที่กำหนดไว้แต่แรกได้ นอกจากนี้ Windows ยังต้องรันบน Mac อีกที ประมาณว่า Mac ถือกุญแจห้องเอาไว้ ถ้าไม่มี Mac ก็รัน Windows ไม่ได้ (ฮา) วิธีนี้จะสะดวกสำหรับคนที่มีที่ดิน (Harddisk) จำกัด เพราะไม่ต้องแบ่งตั้งแต่แรก แถมสลับไปมาก็สะดวกเพราะอยู่บ้านหลังเดียวกัน ไม่ต้องออกนอกบ้าน (Reset) แต่เนื่องจาก Windows อยู่ภายใต้การทำงานของ Mac ก็เลยทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าไหร่... วิธีนี้คือการรัน Windows ผ่านโปรแกรม Virtual Machine (ประมาณ Emulator นั่นแหละ) ซึ่งหลักๆตอนนี้ก็มีสองเจ้าที่ทำมา คือ Pararells กับ VMWare
ซึ่งแต่ไหนแต่ไรเนี่ย Macbook สุดเลิฟก็รัน Windows ผ่าน Pararells มาตลอด เพราะประสิทธิภาพจะด้อยกว่า แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันช้าอะไรเลย
แต่ว่า... อยู่ดีๆก็นึกอยาก 'ลองของ' เพราะตอนนี้ Pararells สามารถเรียกรัน Windows จาก Boot Camp ได้แล้ว หมายความว่า ปกติคนใช้ Boot Camp ถ้าจะใช้ Windows ต้อง Reset เครื่องแล้วบูทใหม่ แต่ตอนนี้ Pararells สามารถเรียกบูท Windows (แบบ Boot Camp) ทั้งๆที่กำลังรันอยู่บน Mac ได้แล้ว (จริงๆก็ได้มาเป็นปีแล้ว แต่ตอนนี้ได้แรงยุเล็กน้อย)
ปรากฏว่า การลง Boot Camp เป็นประสบการณ์ที่แสนจะสาหัสสากรรณ์ เพราะแค่ตอนจะเริ่มแบ่ง Partition ก็มีปัญหาเสียแล้ว ประมาณว่า ที่ดินที่มีอยู่มีข้าวของ (ไฟล์ต่างๆ) กระจัดกระจายเต็มพื้นที่ ตัว Boot Camp ไม่สามารถย้ายของได้ ดังนั้น วิธีการก็คือ.. Format เครื่องแล้วลง Mac ใหม่!!
เอาวะ ลองก็ลอง ก็นั่ง Backup แล้ว Format Mac ใหม่อีกรอบ คราวนี้ก็สามารถแบ่ง Partition สำหรับ Boot camp ได้สักที แบ่งเสร็จก็ลง Windows ก็ไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่ง...
จนกระทั่งทำการเซต Pararells ให้หยิบ Windows ใน Boot Camp ขึ้นมารัน คราวนี้ล่ะระเบิดลง เพราะ Driver ที่ต่างกัน ทำให้ในครั้งแรกที่ใช้ Pararells รัน จะไม่สามารถใช้ Keyboard และ Mouse ได้ ซึ่งตัว Pararells จะทำการติดตั้ง Driver ให้ แต่ปรากฏว่า โปรแกรม Firewall ที่เราลงไว้ก่อนหน้านั้น มันบล็อกไม่ให้ Pararells ติด Driver น่ะสิ -_-"
ทีนี้ พอลง Driver ไม่สมบูรณ์ ก็เกิดอาการปั่นป่วนอย่างรุนแรง คราวนี้พอเปิด Windows ด้วย Boot camp ก็ปรากฏว่าไม่เจอ Mouse กับ Keyboard เช่นเดียวกัน!? แถมในแบ็คกราวนด์มันก็ detect hardware โน่นนี่มากมาย จนกระทั่ง... บึ้ม!!!!!!!!!!!! กลายเป็นโกโก้ครันช์!!!
หมายความว่า ในที่สุดแล้ว Windows เกิดอาการสับสนตนเอง เลยดับอนาถ ไฟล์ system หาย เปิดไม่ได้ ต้องลงใหม่T_T
...
สุดท้ายหมดความอดทน กลับไปใช้ Pararells เหมือนเดิม ...
5. เพื่อนร่วมโลก
มนุษย์ ไม่ใ่ช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวบนฟุตบาทกรุงเทพมหานคร หากแต่ยังมี แมลงสาบ หนู หมา หรือแม้กระทั่งช้าง!? (รวมถึงสิ่งปฏิกูลจากสรรพสัตว์เหล่านี้) เป็นเพื่อนร่วมทางไปด้วย นี่ยังช็อคไม่หาย เพราะเมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมา เดินกลับ บ้านอยู่ดีๆก็มีความรู้สึกว่ามีอะไรวิ่งตัดหน้า จะหลบก็ไม่พ้น เลยเตะ 'ป้าบ' เข้าให้... มองไปก็เห็น 'หนู' ตัวบะเอ้ก วิ่งจู๊ดเข้าไปหลบข้างทาง... T_T สัพเพสัตตา.. ดีนะที่วันนั้นไม่ได้ใส่รองเท้าแตะ ไม่งั้นคงได้ขัดเท้าเป็นชั่วโมง
6. ทรูมูฟ
ข้อนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ อันตราย ต่อชีวิตคนเดินถนนมากที่สุดแล้ว ซึ่งคุณพอ ได้คอมเม้นต์มาตรงใจสุดๆสำหรับเรื่อง 'เลนจักรยาน' ที่อยู่ดีๆก็เอามาขีด 'กลางฟุตบาท' จนแทบไม่มีที่เดิน ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ไอ้ที่วิ่งจริงๆบนเลนจักรยานมันดันไม่ใช่จักรยาน แต่เป็นมอเตอร์ไซค์ ซึ่ง สองล้อติดเครื่องพวกนี้พร้อมจะจู่โจมจากข้างหลัง โดยไม่แจ้งสัญญาณเตือนใดๆทั้งสิ้น นี่ก็เกือบจะโดนชนไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่ที่แน่ๆคือมอไซค์พวกนี้ เึคยชนกับรถที่บ้านตอนกำลังจะออกถนนใหญ่มาแล้วครั้งนึง คืองี้ ปกติเวลาคนจะขับรถออกจาซอกไปถนนใหญ่ ก็ต้องมองขวาดูรถที่ถนนใหญ่เอาไว้ใช่มะ แล้วเวลาปีนออกจากซอกเนี่ย คนเค้าก็ไม่คิดหรอกว่าฟุตบาทมันจะมีอะไรนอกจากคน ซึ่งถ้ารถพุ่งออกมาไม่เร็วนักยังไงคนก็หลบทันอยู่แล้ว นี่อยู่ดีๆพี่แกวิ่งพุ่งสวนมาจากด้านซ้าย แล้วเป็นมอเตอร์ไซค์ วิ่งมาแบบนั้นแกก็เบรกไม่ทันน่ะสิ ชนโครมเข้าให้... เซ็ง
ทุกวันนี้จะออกจากบ้านต้องเหลียวซ้ายแลขวา เดินกลับบ้านก็ต้องระวังหลังอีัก เศร้า
7. ขายตรง
สุดท้ายที่ถึงไม่ทำให้บาดเจ็บอะไร แต่ก็ทำเสียอารมณ์น่าดู คือบรรดา เซลล์ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
- ขอทาน (ล่าสุดที่เห็นมานี่ครีเอทมากๆ เป็น ขอทานไร้คน!! พี่แกเล่นทิ้งลูกหมาขนาดกำลังน่ารักสักห้าตัว เบียดเสียดในตระกร้าเล็กๆ แล้ววางถ้วยทิ้งไว้ พร้อมป้ายขอตังค์จะได้เอาไปซื้อค่าอาหารหมา เป็นไงล่ะ!!! เอากับเค้าสิ!! ไม่ต้องเหนื่อยตัวเองเลยสักนิด)
- พวกยัดเยียดสติ๊กเกอร์ เกลียด สุดๆไอ้พวกนี้ ทำเหมือนจะแจกแผ่นพับแต่กลับเป็นสติ๊กเกอร์ แล้วคิดตังค์ยี่สิบบาทซะงั้นอะ ชาติหน้าตอนบ่ายๆเหอะถึงจะจ่ายให้ ชิ (ไม่อยากชี้แนะสักเท่าไหร่ แต่ลองคิดดูสิว่า สมมุติแจกสติ๊กเกอร์ให้ก่อน แล้วขอ 'บริจาค' ตังค์ ทีหลังอะ คนที่เค้าได้สติ๊กเกอร์คงไม่เสียมู้ด และน่าจะมีโอกาสควักกระเป๋าให้พี่มากกว่าวิธี มัดมือชก แบบนี้ซะอีก)
- เซลล์ขายบัตรส่วนลด / เซลล์ขายฟิตเนส ฮู้ยยย ใช่ครับพี่ ที่พี่พูดมาเนี่ย ถูกหมดแหละ ประหยัดจริง เซฟตังค์ได้จริง แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือพี่จะต้องให้ผมต้องไปใช้บริการ ในสิ่งที่ผมไม่อยากจะใช้เลยเนี่ยนะ!?
- เซลล์เด็กนักเรียน เบื่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่รู้เพราะอะไร จริงๆแล้วเกลียดหน่วยงานที่ใช้วิธีนี้มาหารายได้จริงๆ คือถ้าทำเป็นครั้งคราวไม่เท่าไหร่ นี่เล่นทำตลอดปีตลอดชาติ พอดีไม่เคยเข้าไปคุยด้วยเลยไม่รู้ว่าเค้าจะเอาเงินไปทำอะไร (ใครเคยโดนมาบอกหน่อยดิ)ล่าสุดเจอกลยุทธ์แบบใหม่ ใช้หลักจิตวิทยาด้วยการ 'ระบุเจาะจงเป้าหมายอย่างชัดเจน' นี่เลย เดินอยู่ดีๆ น้องแกตะโกนมา ' พี่เสื้อขาวขอรบกวนเวลาแป๊บนึงค่ะ!' น่านนนน ภาพบทความในหนังสือ Influence of Psychology ลอยมาพอดีเป๊ะ ...
หนังสือนี้ระบุไว้ว่า เวลาเราต้องการความช่วยเหลือในที่สาธรณะ เราอาจเผชิญกับเหตุการณ์ที่ว่า แหกปาก 'ใครก็ได้ช่วยด้วย' แทบตาย คนผ่านไปมาก็เยอะแยะ แต่ไม่มีใครมาช่วยเราซะงั้น
สาเหตุก็เพราะว่า ต่างคนต่างคิดว่า เดี๋ยวคงมีใครสักคนมาช่วยสักทีแหละน่า หรือไม่ก็เกิดความไม่แน่ใจว่า จะเข้าไปช่วยดีหรือเปล่า ดังนั้น วิธีแก้ปัญหานี้ ก็คือให้ตะโกน ระบุคนที่เราต้องการให้มาช่วยซะ เพราะคนๆนั้นจะได้รู้ว่าเราต้องการความช่วยเหลือจาก ‘เขา’ เป็นการผูกมัดสัญญาทางใจทันที เพราะถ้าเขาไม่มาช่วยเรา เขาก็จะรู้สึกผิดต่อเราทันที นอกจากนั้นเขายังได้รับแรงกดดัน ที่กลัวคนอื่นๆจะมองตนไม่ดีอีกด้วย
เขียนไปเขียนมาก็นึกถึงตอนที่เอกเรียกชื่อเพื่อนหลายๆคนในภาค ให้ฟังประชุม ซึ่งผลออกมากลายเป็นว่า เวิร์คบ้างไม่เวิร์คบ้าง เพราะการตัดสินใจยอมทำตามนั้น ไปขึ้นอยู่กับความรู้สึกผิดที่ไม่ช่วยเอกเพียงคนเดียว ไม่ได้มี Group pressure เข้ามาช่วยด้วย
ซึ่งถ้าพิจารณาเรื่องเซลล์เด็กนักเรียนนี้แล้ว คงไม่ต้องเดาว่าผลจะเป็นอย่างไร โอเค อาจจะรู้สึกผิดบ้างที่ไม่ได้สนใจน้องเค้า แต่น้องเค้าก็เป็นแค่ somebody และถ้าเราไม่ช่วยเค้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ แถม Group Pressure ก็ไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นความคิดเรื่องหลักจิตวิทยายังลอยเข้ามาอีก ทำให้เรามองโลกในแง่ร้ายว่าน้องเค้ากำลังใช้เครื่องมือทางจิตวิทยามากดดันเราอีกซะงั้น สรุปก็เลยแค่ส่งยิ้มให้ แล้วเดินต่อไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น... (ใจดำจริงเล้ยยย)
เริ่มด้วยฟุตบาท ไหงมาจบหลักจิตวิทยาได้เนี่ย... งง 555
1. ร้อน
เหตุผลอันดับหนึ่งที่ใครๆก็ต่างยอมรับ และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ากรุงเทพมัน โค-ตะ-ระ ร้อนสุดๆ ยัง!! ยังไม่พอ ไหนจะแดดอีก ซึ่งหลายคนก็แก้ปัญหาด้วยร่ม UV ด้วยเหตุผลบังหน้าว่าเกรงจะเป็นมะเร็งผิวหนัง 55 (แต่เหตุผลที่แท้จริงละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
จริงๆก็มีเรื่องน่าสนใจอย่างนึง คือทั้งๆที่แดดเปรี้ยงอย่างนี้ กลับไม่ค่อยมีคนใส่แว่นดำเดินตามถนนกรุงเทพกันเท่าไหร่? เห็นคนซื้อมาก็ใส่แค่ตอนขับรถ ไปเที่ยวทะเล หรือหนีปาปาราซซี่กันเท่านั้นเอง ก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมเวลาคนไทยเห็นคนอื่นใส่แว่นดำแล้วมักจะชอบคิดว่าคนๆนั้น ‘แรง’ ??
2. ควันเยอะ
เรื่องนี้ก็คงละไว้ในฐานที่เข้าใจกันได้ เพราะแม้แต่ 'ถนนสีเขียว' หลายๆเส้นก็ยังมีคุณภาพอากาศต่ำกว่ามาตรฐาน แต่มีข่าวดีหน่อย เพราะผลจากการที่รถเปลี่ยนมาใช้ก๊าซกัน ทำให้คุณภาพอากาศโดยรวมดีขึ้นกว่าเดิม (ถึงแม้จะยังต่ำกว่ามาตรฐานก็เหอะ)
3. ฟุตบาทจากต่างดาว
จนตอนนี้ก็ยังอยากรู้ว่าใครเป็นคนคิดค้น 'บล็อกตัวหนอน' หรือ บล็อกแปดเหลี่ยม+สี่เหลี่ยม ที่ใช้ปูพื้นถนนกัน เพราะไม่เคยจะเห็นถนนเส้นไหนที่ใช้บล็อกพวกนี้แล้วเรียบเล้ย ยังไม่นับพวกเจาะ ขุด ที่มีทั้งปีทั้งชาติ และฝาท่อมากมายที่อยู่ดีๆก็โผล่จากพื้นมั่ง หายไปบางส่วนมั่ง ไม่ก็เปิดท่อทิ้งไว้ให้คนตกลงไปตายเล่น -_- เห็นฟุตบาทที่มาเก๊าแล้วอิจฉาคนที่นั่นจริงๆ ขนาดพี่แกทำฟุตบาทด้วยโมเสกแล้วยังออกมาเรียบสบายตรีนสุดๆ
4. บาทวิถีประชาธิปไตย
ช่างน่าเศร้า... พื้นที่อันน้อยนิดบนฟุตบาท (ที่หลายคนเห็นว่าเป็น 'พื้นที่สาธรณะ ตูจะทำอะไรก็ได้') ถูกครอบครองไปด้วยบรรดาแผงลอย ร้านค้า รถเข็นนานาชนิด บางคนอาจจะคิดว่าก็ดีออก มีของให้ชอป ให้กิน มันก็จริงอยู่ แต่สำหรับคนที่ต้องการ ‘สัญจร’ จริงๆ ซึ่งน่าจะเป็นความสำคัญอันดับแรก กลับไม่มีที่จะเดินซะงั้นอะ
... ยังเหลืออีกสามเหตุผลที่อยากจะบ่น จริงๆแล้วเรื่องที่อยากบ่นจริงๆคือเรื่องที่จะเขียนคราวหน้า ... ก็ เอาไว้ต่อคราวหน้าละกัน ตามเคย 55
-
#
7/4/08 15:20
เอ... ไม่เห็นทางเท้าตามถนนที่ปูตัวหนอนหรืออิฐแปดเหลี่ยมมานานแล้วนะ... ยังมีอยู่อีกเหรอ
ว่าไปแล้ว น่าสงสัยเนอะว่าไอ้อิฐปุ่ม ๆ สีเหลืองสำหรับคนตาบอดเนี่ย ทำไว้ในกรุงเทพฯ แล้วได้ประโยชน์อะไรบ้างเปล่า คือนอกจากทางเท้าส่วนอื่นจะขรุขระพอกันแล้ว ไอ้ตัวอิฐสีเหลืองเองนาน ๆ เข้ามันชักจะขยับที่มั่วไปมั่วมาจนไม่บอกทางอะไรแล้ว
เรื่องจักรยานอีกอย่าง... ทำไมจำได้ว่าเคยเรียนว่าถ้าไม่มีเลนพิเศษสำหรับจักรยาน (ซึ่งอย่าว่าแต่กรุงเทพฯ เลย เมืองใหญ่ในโลกส่วนใหญ่ก็ไม่มี) จักรยานต้องขับบนถนน โดยชิดซ้ายเหมือนรถทั่วไป (ซึ่งเป็นอีกข้ออ้างหนึ่งที่นอกจากจะหลีกเลี่ยงการเดินแล้ว ยังควรหลีกเลี่ยงการใช้จักรยานด้วย) แต่หลัง ๆ ดันมาตีเส้นบนทางเท้าว่าให้ขี่จักรยาน แล้วแถมตีไว้ซะกลางทางเท้าจนไม่มีพื้นที่เหลือข้างนอกให้เดิน แล้วแปลว่าเราเดินตรงนั้นก็ต้องเสี่ยงกับการถูกจักรยานทับ? (แต่ก็ไม่เคยจะเห็นใครขี่จักรยานในช่องนี้สักที จะมีก็แต่เหมือนอนุญาตให้มอเตอร์ไซค์ขับชนคนบนทางเท้าได้ถูกต้องมากขึ้น)
ผู้ครอบครองทางเท้านี่ก็อีกอย่าง... เวลาไปขึ้นรถเมล์อนุสาวรีย์ชัยฯ ก็อดรำคาญไม่ได้ทุกที... เคยมีครั้งนึงลงจากสะพานลอยแล้ววิ่งไปขึ้นรถเมล์ไม่ทัน เพราะมีแต่แผงขายของวางเป็นกำแพงขวางไว้ตรงหน้า เลยสาบานกับตัวเองว่าจะไม่สนับสนุนสินค้าใด ๆ ของพวกนั้นเด็ดขาด
ส่วนแว่นกันแดด...
คงต้องหาทางสร้างเทรนด์ใหม่กันแล้วล่ะ
ไม่แน่ลองเอามาประกอบกับหน้ากากกันแก๊สพิษ (แบบคนไต้หวัน) อาจจะได้ออกทีวีก็ได้นะ
และแล้ว ในเดือนกค ปีที่ผ่านมา ชาวอังกฤษก็ได้ยลโฉมโลโก้งานโอลิมปิกทางการแบบใหม่ ที่ได้มีการจ้างบริษัท Brand Consultant ชื่อดัง Wolff Olins ซึ่งเคยสร้างแบรนด์อย่าง Orange มาแล้ว มาทำการออกแบบโดยใช้เวลาเป็นปี และงบประมาณราว 400,000 ปอนด์ หรือ 25 ล้านบาท!!!
ผลลัพธ์สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวอังกฤษทั้งประเทศ
เพราะนี่คือผลที่ได้...
ไม่ได้ล้อเล่น!!! เป็นอย่างนี้จริงจริ๊งงงง
คงไม่ต้องเดาว่า ปฏิกริยาตอบรับโลโก้ราคา 25 ล้านบาทอันล้นหลาม ของชาวอังกฤษจะเป็นไปในทิศทางใด (ซึ่งขอบอกว่ามันส์มาก ตามสไตล์ผู้ดีที่ชอบกัดเจ็บกันอยู่แล้ว) เพราะนอกจากมันจะดูไม่ต่างกับโลโก้ที่เด็กอนุบาลวาดเอาเล่นๆแล้ว มันยังดูไม่สื่อถึงกีฬา หรือ 'ลอนดอน' ที่คนอังกฤษแสนภาคภูมิใจนักหนาซักนิด
ผลการสำรวจจากเว็บไซต์ BBC พบว่าประชาชนเกือบ 85% ลงความเห็นว่าโลโก้นี้ ห่วยสิ้นดี ซึ่งสอดคล้องกับสื่ออย่าง The Sun, The Guadian และชาวบล็อกอีกมากมายที่ออกมาุรุมสับ นักข่าวของ The Sun ถึงกับลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องที่มีโลโก้ London 2012 กว่า 400000 อัน เป็นเวลา 24 ชั่วโมง (ดูรูปด้านบน) เพื่อออกมาบอกว่า คุณไม่ต้องทำตัวให้บ้าเพื่อที่จะชอบโลโก้อันนี้ เพราะในไม่นานคุณก็จะเป็น(บ้า)เอง กระทั่งนายกนครลอนดอนยังออกมากล่าวว่า ตูจะไม่ยอมจ่ายตังค์ซักเพนนีเดียวกับความหายนะในการออกแบบครั้งนี้ พร้อมกับกิจกรรมอีกหลายๆรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประชดทำ Tutorial วาดโลโก้ด้วย MS Word การประกวดโลโก้แข่งหรือการล่ารายชื่อถอดถอนโลโก้ จนเรื่องนี้ถูกนำเข้าไปประชุมในสภา! แต่อย่างไรก็ตามสภาก็มีมติไม่ขอร้องให้คณะกรรมการจัดงานเปลี่ยนโลโก้ และคณะกรรมการก็ไม่เปลี่ยนใจที่จะเปลี่ยนโลโก้เช่นกัน
หรือใครคิดว่าไง?
- # 5/4/08 13:45
- # 14/4/08 00:21
-
#
14/5/08 13:47
ผมได้ไปฟัง Patric Cox ผู้ออกแบบโลโก้นี้พูดในงานที่ฮ่องกงมาครับ เหตผลที่เค้ายกมานั่นก็ใช้ได้ทีเดียว และคงกล่อมให้คณะกรรมการยอมซื้อโลโก้นี้ ที่มาที่ไปของโลโก้นี้มันแหวกแนวจากงานโอลิมปิกทุกๆครั้ง (ซึ่งวนเวียนอยู่กับวงกลม คบไฟ เปลวเพลิง ฯลฯ) ที่ผมว่าน่าสนใจก็คือโลโก้มันสามารถไป apply ที่ไหนก็ได้ครับ ไปทำ graffiti ก็ได้ เอาไป screen บนถนนก็ได้ แล้วคนจำได้ เป็ฯการใช้ล่วงหน้า 5 ปี แล้วตอนนี้ถามว่าผมจำโลโก้โอลิมปิคที่จีน กับที่ลอนดอน อันไหนได้แม่นกว่า ผมว่าผมจำของลอนดอนได้ครับ แปลกดีเหมือนกัน คงต้องไปดูกันอีกในไม่กีปีข้างหน้า ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร
-
#
12/8/08 00:09
ผลหละเบื่อ ไอ่พวกที่ออกแบบงานหรือโลโก้ ที่พยายามจะฉีกแนวแต่ไปไม่รอด เลยลงเอยด้วยการทำอะไรเดิมๆที่ดีอยู่เเล้ว (ซึ่งในความคิดของพวกเขามันไม่ดี) ให้ออกมาดูแปลกแหวกแนว ดูเหมือนจะมีอะไร หรือ ผ่านการออกแบบอย่างปราณีต แต่ใคความเป็นจริงก็คือไม่มีอะไรเลย มันก็แค่ ตัวเลข 2012 เหลี่ยมๆ
จ้างผม 1000+เลี้ยงข้าว 1มื้อข้างถนน ผมจะเปลี่ยนจาก ไอ่ 2012 เหลี่ยมๆมาเป็น font อังสนา ยังดูดีซะกว่าเลย
ไม่ได้ขวางโลกนะ แต่อะไรที่มันดีอยุ่แล้ว แล้วพยายามจะแหกมันออกไปก็ ตีโจทย์ให้แตก ด้วย...ถ้าทำไม่ได้ เอาตรา 5ห่วงที่มีอยู่เเล้ว มาใช้เหอะ พิมคำว่า london 2012 ข้างใต้ แค่นี้พอและ -
#
12/8/08 00:38
อ่า...เราคิดว่า..โลโก้อะไรก็เอาไปทำกราฟิตี้ได้ทั้งนั้นแหละ อยู่ที่การจัดวางมากกว่า...ในความคิดเราของจีนสวย และก็ความหมายดี ไม่ใช่แค่ว่าอยากจะเอาตัวอะไรมาทำเป็นโลโก้ .....ทุกอย่างก็ผ่านการคิดเหมือนกัน
แต่..ของลอนดอน เห็นครั้งแรก งงนะ..ว่านี่หรือโลโก้ แล้วถ้าอยากแหวกแนวจริง ทำไม ไม่หนี ให้พ้นการใช้ ตัวเลขด้วยล่ะ..เค้าก็ใช้กันมาเยอะเหมือนกัน เอะอะก็ตัวเลขแหละ..ง่ายกว่าสัญลักษณ์
ไม่รู้ว่า พอเอาไปใช้จริง จะออกมาเป็นไง..อาจจะดีก็ได้...มั๊งนะ..
ชอบมาดูถูกคนเอเชีย...ชิ..เกลียด...คนเอเชียก็เก่งไม่แพ้คนยุโรปหรอก..เผลอๆ มากกว่าด้วยซ้ำ - # 12/8/08 10:29
คนไทยไม่ได้หลอกไม่เปิดมิเตอร์กันได้ง่าย ๆ นี่นา...
วันก่อนจะไปโออิชิเอ็กเพรสกับพวกที่ทำค่าย
พอเรียกแท็กซี่ พี่แกบอกไม่รับด้วยเหตุผลสักอย่าง (ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นกองทัพใส่เสื้อดำทะมึน ก็คงเพราะไม่อยากไปหลักสี่)
ก่อนที่ผมจะปิดประตู แพรวสวยก็พูดดังๆ ขึ้นมาว่า
"ไม่เป็นไรหรอก แท็กซี่มีอีกเป็นล้านคัน"
เสี้ยววินาทีก่อนที่ประตูจะปิด ได้ยินแท็กซี่ด่าอยู่แว้บๆ
โหย เด็กๆเลย
เวลาไปสยามแล้วกลับค่ำๆเนี่ย แทบอยากเดินเท้ากลับรพ.
มีอยู่ครั้งนีง ยืนเรียกแท็กซี่ตั้งแต่1ทุ่ม-3ทุ่ม -__-"