Sunrise @ Nok An Cliff
ตกดึกหลังจากเข้านอน ตอนตีสามต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหนาวเย็นยะเยือกกก แค่เสื้อนอนสองชั้นกับกางเกงเล (กระแดะมาก เอากางเกงเลบางๆมาภูเนี่ย) นี่ ยั้งความหนาวไม่อยู่จิงๆ สุดท้ายเลยต้องหยิบแจ๊คเกตหนานุ่มกะหมวกมาคลุมหัวซะ จิบน้ำสักสี่ห้าอึกให้หายเจ็บคอ แล้วค่อยนอนต่อไป
หลับไปผลอยเดียว มือถือที่ตั้งปลุกไว้ตอนตีสี่ครึ่งก็ดัง ไอ้รุ่นนี้มันฉลาดรู้ใจมาก ถ้าจะปิดโหมดต้องกดย้ำสองที (ห่างกันด้วย) เพราะตามนิสัยคนเรา ปลุกครั้งแรก พอกดปิดปุ๊บก็หลับต่อเฉย ต้องรอให้มันผ่านไปสักสิบนาที จนมันปลุกด่าอีกรอบถึงยอมตื่นจริงๆ 555
ตื่นขึ้นมาก็คว้าไฟฉาย ลอยเปนวิญญาณเข้าไปในห้องน้ำ แปรงฟัน ก่อนจะกลับมายัดเสื้อหนาวพอกเข้าไปอีกเป็น 5 ชั้น + ผ้าพันคอ หมวก (ที่ใส่ตั้งแต่ตอนนอน) และถุงมือ เรียกได้ว่าพร้อมรบจริงๆ (ดูสองภาพล่างก็ได้ว่าแต่ละคนนี่ใส่กันหนาขนาดไหน)
จะว่าไปนี่ตอนอยู่เมกาก็ไม่ได้ใส่เสื้อหนาขนาดนี้เหอะถึงอากาศมัน(อาจ)จะเย็นกว่า แต่โปรดอย่าลืมว่า เวลาท่านตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ถ้าไม่มีอะไรอุ่นๆให้ซดก่อน มันจะรู้สึกหนาวกว่าปกติอยู่แล้ว และแน่นอนว่าที่นี่ไม่มีฮีตเตอร์ ถึงจะเป็นบ้านแต่ไอเย็นก็แทรกเข้ามาได้อยู่ดี (ว่าแต่ ไอ้พวกนอนเต้นท์นี่มันอยู่ได้ไงฟะ)
ร่ายมาตั้งนานอาจมีบางคนสงสัยว่าทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้ ก็เพราะว่า ตีห้าครึ่งเราต้องไปที่ศูนย์ เพื่อตามเจ้าหน้าที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นนั่นเอง ^^ (เพื่อให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นตอนหกโมง) หลังจากรวมพลเรียบร้อยก็สโลสเลไปเรื่อยๆ เดินไปอีกสองกิโลท่ามกลางความมืดมิด กว่าจะไปถึงก็ประมาณหกโมง แล้วก็นั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตามแบบฉบับ คอยลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่จะขึ้น
น่านน มาแล้ว กลมๆ แดงๆ ที่เส้นขอบฟ้า
speechless moment
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่า... ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ถ่ายภาพมาอย่างไร ก็ไม่ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ตรงนั้น อากาศเย็นๆ วิวสวยๆ บรรยากาศทั้งหมดทำให้เป็นประสบการณ์ 'ดูพระอาทิตย์ขึ้น' ที่น่าประทับใจจริงๆโชคไม่ดีที่วันนี้เมฆเยอะ เลยเหนพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่ชัด แต่กลับเป็นว่า พอมีเมฆ มันก็สวยไปอีกแบบนะ ^^
speechless moment
และแน่น้อน ด้วยความที่เป็นโปรแกรมแรก วิญญาณบ้ากล้องเลยสิงเต็มที่ ถ่ายรูปออกมากันตรึมจนชนิดที่ว่า กลับบ้านมาเปิดสไลด์โชว์ แม่นั่งบ่นว่านี่ชั้นดูพระอาทิตย์ขึ้นมาเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วนะ (แหงเดะ ชั่วโมงครึ่งนี่ถ่ายเข้าไปสองร้อยห้าสิบรูปได้)
ส่วนนี้ ได้ฟีลเป็น'พระเอกเกาหลี จริงๆ (แม่ยังชม 55)
เผลอแผล่บเดียวก็เจ็ดโมงครึ่ง ได้เวลาออกเดินทางกลับ แต่แวะไปนมัสการพระที่ลานวัดพระแก้วก่อน ระหว่างทางเดินที่ขามามองไม่เห็นอะไรเลย พอตอนนี้กลับสวยอย่างไม่น่าเชื่อ มีกลิ่นสนหอมๆโชยมาให้ชื่นใจเล่นๆ เป็นการรับวันใหม่ที่สุดยอดจริงๆ
พอไหว้พระเสร็จก็เดินกลับที่พัก แต่ระหว่างทางมองไป ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น ด้วยความที่มีเมฆครึ้มๆอยู่ แสงอาทิตย์เลยสองผ่านออกมาเป็นม่านแสงแบบ The Lion King เลย เหมือนเป็น special bonus ให้อย่างไงอย่างงั้น นึกถึงไอ้ฉากการ์ตูนแบบที่ แสงส่องมาจากสวรรค์เลยว่ะ ไม่คิดว่าจะมีจริงนะเนี่ย ^^
ถือเป็นการส่งท้ายโปรแกรมแรกที่น่าประทับใจสุดๆ ก่อนจะกลับศูนย์ ไปหาโจ๊กร้อนๆ และปาท่องโก๋ (ราดนมข้นเยอะๆ) แล้วก็กลับไปนอนเอาแรง ก่อนที่ตอนบ่ายจะไปลุยโปรแกรมการเดินสู่ 'ผาหล่มสัก' ที่ลือชื่อ ทั้งเรื่องชอตหน้าผาสุดคลาสสิคและระยะทางสุดไกลกว่า 9 กิโล
(โปรดติดตามตอนต่อไป ขอไปอ่านหนังสือต่อล่ะน้าา ว่าแต่... กี่ part ถึงจะจบเนี่ย -_-)
พอไหว้พระเสร็จก็เดินกลับที่พัก แต่ระหว่างทางมองไป ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น ด้วยความที่มีเมฆครึ้มๆอยู่ แสงอาทิตย์เลยสองผ่านออกมาเป็นม่านแสงแบบ The Lion King เลย เหมือนเป็น special bonus ให้อย่างไงอย่างงั้น นึกถึงไอ้ฉากการ์ตูนแบบที่ แสงส่องมาจากสวรรค์เลยว่ะ ไม่คิดว่าจะมีจริงนะเนี่ย ^^
ชอตแบบนี้ไม่ได้มีแต่ในการ์ตูน
ถือเป็นการส่งท้ายโปรแกรมแรกที่น่าประทับใจสุดๆ ก่อนจะกลับศูนย์ ไปหาโจ๊กร้อนๆ และปาท่องโก๋ (ราดนมข้นเยอะๆ) แล้วก็กลับไปนอนเอาแรง ก่อนที่ตอนบ่ายจะไปลุยโปรแกรมการเดินสู่ 'ผาหล่มสัก' ที่ลือชื่อ ทั้งเรื่องชอตหน้าผาสุดคลาสสิคและระยะทางสุดไกลกว่า 9 กิโล
(โปรดติดตามตอนต่อไป ขอไปอ่านหนังสือต่อล่ะน้าา ว่าแต่... กี่ part ถึงจะจบเนี่ย -_-)
วู้ววววว
ว่าแต่
อีกกี่รอบกว่าจะลงจากภูวะเนี่ย