(ความเดิมจากตอนก่อนหน้า)
หลังจากที่ได้ตื่นตาตื่นใจ หลงไปอยู่ในแดนมหัศจรรย์ นครวัด นครธม เมื่อวันก่อน วันนี้ก็ต้องตื่นมาพบความจริงอีกครั้ง เมื่อต้องเดินทางกลับพนมเปญ โดยตอนเช้าไปเที่ยวโตนทะเลสาบก่อน
ยังไงก็รู้สึกน่าเบื่อสุดๆ โดยเฉพาะกับการเดินทาง ที่แม้ระยะทางจะสั้นๆไม่กี่โล ก็ต้องเสียเวลานานเป็นชั่วโมงๆ.
ขากลับจากเสียมเรียบไปพนมเปญคราวนี้ ก็ต้องนั่งรถอีกเจ็ดชั่วโมงตามเคย ซึ่งนี่เป็นสภาพความเป็นจริง ของระบบสาธรณูปโภคของที่นี่ ซึ่งต้องบอกว่า ยังต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกเยอะ ไม่ใช่แค่เรื่องถนนหนทางเท่านั้น ไฟฟ้าก็ยังติดๆดับๆ โรงแรมทุกทีแน่นอนว่าต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองใช้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือที่นี่ต้องปั่นไฟจากน้ำมันเท่านั้น ค่าไฟยูนิตนึงนี่แพงกว่าบ้านเรามาก ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องยอมรับจริงๆว่าค่าครองชีพที่นี่ สูงกว่าที่ไทยเยอะ ในขณะที่ผู้คนส่วนมากของประเทศ มีรายได้ต่ำกว่าเราทั้งนั้น
ขากลับเข้าพนมเปญ ถ้าสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า มีร่องรอยของความเจริญเมื่อครั้งฝรั่งเศสเข้ายึดครองอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นสนามบอลขนาดใหญ่ที่สร้างมาก่อนสนามศุภฯ หรือโรงเรียนที่กระจัดกระจายเต็มเมืองไปหมด (แน่นอนว่าสร้างช่วงฝรั่งเศสครอง) ล้วนเป็นร่องรอยที่บ่งบอกถึงความเจริญว่า พนมเปญสมัยนั้น น่าจะเจริญกว่ากรุงเทพด้วยซ้ำไป
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้พังทลายไปสิ้น เมื่อเขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ...
ขากลับ เราได้แวะคุกโตสะเล (ดูรูปบน) ซึ่งเดิมทีก็เป็นโรงเรียน แต่ได้รับการดัดแปลงเป็นคุก ถึงแม้ปัจจุบัน จะได้เคลียร์สถานที่ให้เข้าชมได้แล้ว แต่ร่องรอยแห่งความหดหู่ยังเต็มโรงเรียนแห่งนี้อยู่
แทบไม่น่าเชื่อว่าโรงเรียนธรรมดาๆโรงเรียนหนึ่ง จะถูกน้ำมือของมนุษย์กระทำได้ถึงขนาดนี้...
เครื่องเล่นออกกำลังกายขนาดใหญ่ ถูกรื้อออกเหมือนเหลือโครงสร้างเหมือนโครงโหนบาร์ ดัดแปลงเป็นเครื่องทรมานนักโทษผูกข้อเท้า ดึงร่างขึ้นไปสูง แล้วปล่อยลงมาให้หัวจมถังน้ำเน่า... ห้องเรียนถูกซอยย่อยเป็นคุกเล็กๆที่แทบจะไม่มีที่จะนั่ง... ภาพเชลยที่ถูกถ่ายไว้ก่อนเข้าคุกที่นี่ ทำให้รู้สึกหดหู่เป็นอย่างที่สุด
เขมรแดงได้ต้อนผู้คนออกจากเมืองไปหมด ด้วยการประกาศข่าวลือว่าอเมริกาจะมาทิ้งบอมบ์ที่นี่ จากนั้น ปัญญาชนทั้งหลาย ครู พ่อค้าแม่ค้า ดารา ถ้าไม่ถูกจับเข้าคุก (ฐานมีอภิสิทธิ์) ก็ต้องถูกผลักไสให้ไปทำนา ส่วนพวกชาวนา ก็เอาเข้ามาอยู่ในเมือง นี่เป็นแนวคิดที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และทำให้ประเทศเขมรต้องสูญสิ้นทุกอย่างที่ได้สร้างมา ขาดผู้เชี่ยวชาญในทุกๆแขนง ในการที่จะกลับมาพัฒนาบ้านเมืองใหม่ แน่นอนว่าถ้าสังเกตให้ดี พลเมืองประเทศนี้ไม่ค่อยเห็นวัยกลางคนเท่าไหร่ ถ้าไม่เด็ก วัยรุ่น ก็จะแก่ไปเลย
เห็นแล้วก็สะท้อนให้นึกถึงประเทศไทย อยากให้ทุกคนได้มาเห็นสภาพ'จริง' ของประเทศแห่งนี้ แล้วจะได้กลับไปคิด เลิกทะเลาะกัน แล้วหันมาพัฒนาประเทศกันดีกว่า
ที่กัมพูชา ทรัพย์สิน ที่ดินของรัฐ ตอนนี้ได้ถูกปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเช่ากันแทบหมดประเทศ สนามบินก็ให้ต่างชาติบริหาร ข้าวปลาอาหารก็นำเข้าเกือบทั้งหมด อุตสาหกรรมในประเทศนี้แทบจะไม่มี จะมีก็เป็นพวกการ์เม้นท์ หรือ SME เล็กๆ (ซึ่งแทบไม่สงสัยเลย เพราะแค่สภาพถนน กับไฟฟ้าที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็เป็นอุปสรรคที่ขวางทางการสร้างโรงงานอย่างเต็มประตูแล้ว) และแน่นอนว่าเมื่อครั้งเหตุการณ์เผาธุรกิจคนไทย การชดเชยของรัฐบาล ส่วนหนึ่งก็คือการให้สิทธิ์ลดภาษี หรือให้เป็นรูปที่ดินให้เช่า เพราะไม่มีเงินจะหมุนให้...
อยากให้ทุกคนที่ได้อ่าน ได้กลับไปคิดสักนิด แล้วหันมามองตัวเราใหม่ และภาวนาให้ประเทศไทยหลุดพ้นวงจรการเมืองอุบาทว์นี่เสียทีเถอะ
(บล็อกนี้เครียดจัง บล็อกหน้าจะปล่อยฮาๆและ ^^)
หลังจากที่ได้ตื่นตาตื่นใจ หลงไปอยู่ในแดนมหัศจรรย์ นครวัด นครธม เมื่อวันก่อน วันนี้ก็ต้องตื่นมาพบความจริงอีกครั้ง เมื่อต้องเดินทางกลับพนมเปญ โดยตอนเช้าไปเที่ยวโตนทะเลสาบก่อน
ยังไงก็รู้สึกน่าเบื่อสุดๆ โดยเฉพาะกับการเดินทาง ที่แม้ระยะทางจะสั้นๆไม่กี่โล ก็ต้องเสียเวลานานเป็นชั่วโมงๆ.
ขากลับจากเสียมเรียบไปพนมเปญคราวนี้ ก็ต้องนั่งรถอีกเจ็ดชั่วโมงตามเคย ซึ่งนี่เป็นสภาพความเป็นจริง ของระบบสาธรณูปโภคของที่นี่ ซึ่งต้องบอกว่า ยังต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกเยอะ ไม่ใช่แค่เรื่องถนนหนทางเท่านั้น ไฟฟ้าก็ยังติดๆดับๆ โรงแรมทุกทีแน่นอนว่าต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองใช้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือที่นี่ต้องปั่นไฟจากน้ำมันเท่านั้น ค่าไฟยูนิตนึงนี่แพงกว่าบ้านเรามาก ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องยอมรับจริงๆว่าค่าครองชีพที่นี่ สูงกว่าที่ไทยเยอะ ในขณะที่ผู้คนส่วนมากของประเทศ มีรายได้ต่ำกว่าเราทั้งนั้น
ขากลับเข้าพนมเปญ ถ้าสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า มีร่องรอยของความเจริญเมื่อครั้งฝรั่งเศสเข้ายึดครองอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นสนามบอลขนาดใหญ่ที่สร้างมาก่อนสนามศุภฯ หรือโรงเรียนที่กระจัดกระจายเต็มเมืองไปหมด (แน่นอนว่าสร้างช่วงฝรั่งเศสครอง) ล้วนเป็นร่องรอยที่บ่งบอกถึงความเจริญว่า พนมเปญสมัยนั้น น่าจะเจริญกว่ากรุงเทพด้วยซ้ำไป
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้พังทลายไปสิ้น เมื่อเขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ...
ขากลับ เราได้แวะคุกโตสะเล (ดูรูปบน) ซึ่งเดิมทีก็เป็นโรงเรียน แต่ได้รับการดัดแปลงเป็นคุก ถึงแม้ปัจจุบัน จะได้เคลียร์สถานที่ให้เข้าชมได้แล้ว แต่ร่องรอยแห่งความหดหู่ยังเต็มโรงเรียนแห่งนี้อยู่
แทบไม่น่าเชื่อว่าโรงเรียนธรรมดาๆโรงเรียนหนึ่ง จะถูกน้ำมือของมนุษย์กระทำได้ถึงขนาดนี้...
เครื่องเล่นออกกำลังกายขนาดใหญ่ ถูกรื้อออกเหมือนเหลือโครงสร้างเหมือนโครงโหนบาร์ ดัดแปลงเป็นเครื่องทรมานนักโทษผูกข้อเท้า ดึงร่างขึ้นไปสูง แล้วปล่อยลงมาให้หัวจมถังน้ำเน่า... ห้องเรียนถูกซอยย่อยเป็นคุกเล็กๆที่แทบจะไม่มีที่จะนั่ง... ภาพเชลยที่ถูกถ่ายไว้ก่อนเข้าคุกที่นี่ ทำให้รู้สึกหดหู่เป็นอย่างที่สุด
เขมรแดงได้ต้อนผู้คนออกจากเมืองไปหมด ด้วยการประกาศข่าวลือว่าอเมริกาจะมาทิ้งบอมบ์ที่นี่ จากนั้น ปัญญาชนทั้งหลาย ครู พ่อค้าแม่ค้า ดารา ถ้าไม่ถูกจับเข้าคุก (ฐานมีอภิสิทธิ์) ก็ต้องถูกผลักไสให้ไปทำนา ส่วนพวกชาวนา ก็เอาเข้ามาอยู่ในเมือง นี่เป็นแนวคิดที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และทำให้ประเทศเขมรต้องสูญสิ้นทุกอย่างที่ได้สร้างมา ขาดผู้เชี่ยวชาญในทุกๆแขนง ในการที่จะกลับมาพัฒนาบ้านเมืองใหม่ แน่นอนว่าถ้าสังเกตให้ดี พลเมืองประเทศนี้ไม่ค่อยเห็นวัยกลางคนเท่าไหร่ ถ้าไม่เด็ก วัยรุ่น ก็จะแก่ไปเลย
เห็นแล้วก็สะท้อนให้นึกถึงประเทศไทย อยากให้ทุกคนได้มาเห็นสภาพ'จริง' ของประเทศแห่งนี้ แล้วจะได้กลับไปคิด เลิกทะเลาะกัน แล้วหันมาพัฒนาประเทศกันดีกว่า
ที่กัมพูชา ทรัพย์สิน ที่ดินของรัฐ ตอนนี้ได้ถูกปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเช่ากันแทบหมดประเทศ สนามบินก็ให้ต่างชาติบริหาร ข้าวปลาอาหารก็นำเข้าเกือบทั้งหมด อุตสาหกรรมในประเทศนี้แทบจะไม่มี จะมีก็เป็นพวกการ์เม้นท์ หรือ SME เล็กๆ (ซึ่งแทบไม่สงสัยเลย เพราะแค่สภาพถนน กับไฟฟ้าที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็เป็นอุปสรรคที่ขวางทางการสร้างโรงงานอย่างเต็มประตูแล้ว) และแน่นอนว่าเมื่อครั้งเหตุการณ์เผาธุรกิจคนไทย การชดเชยของรัฐบาล ส่วนหนึ่งก็คือการให้สิทธิ์ลดภาษี หรือให้เป็นรูปที่ดินให้เช่า เพราะไม่มีเงินจะหมุนให้...
อยากให้ทุกคนที่ได้อ่าน ได้กลับไปคิดสักนิด แล้วหันมามองตัวเราใหม่ และภาวนาให้ประเทศไทยหลุดพ้นวงจรการเมืองอุบาทว์นี่เสียทีเถอะ
(บล็อกนี้เครียดจัง บล็อกหน้าจะปล่อยฮาๆและ ^^)
Post a Comment