รูปเยอะ เนื้อหาเยอะ ค่อยๆอ่านไปนะ อ่านไม่จบก็มาอ่านวันหลังได้ รูปมองไม่เห็นก็คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ได้เหมือนกัน ^^
หลังจากกลับมาจากเสม็ดด้วยสภาพร่างกายที่ยับเยิน ก็มีเวลาพักหนึ่งวันก่อนที่จะไปยับเยินต่อ (ฮา) ที่ ภูกระดึง หนึ่งในสถานที่ที่แต่ก่อนไม่เคยคิดที่จะอยากขึ้นไปสักนิด แต่เวลาผ่านไปความคิดก็เปลี่ยนไป กลายเป็น 'สักครั้งน่าในชีวิต ที่จะต้องขึ้นไปสักครั้ง' จริงๆไอ้วันกลับจากเสม็ดนี่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า นี่กูจะไปไหวป่าวเนี่ย แต่ก็.. เอาเฮอะ ยังไงก็ต้องไปน่า
ต้องเท้าความไปถึงก่อนปิดกีลามหาลัยตอนโน้นนนนน ที่การวางแผนทริปไปเที่ยวช่วงนี้แตกออกเปนสองกลุ่ม กลุ่มนึงไปเสม็ด อีกกลุ่มไปภูกระดึง ไม่รู้จัดการยังไง แต่สุดท้ายเราก็อุตส่าห์ดันให้สองทริปนี้มันไม่ซ้อนเวลากัน แล้วก็ไปแม่งทั้งสองที่เลย (โดยไม่เจียมสังขารตัวเองซะก่อน 55)
คราวนี้ได้เพื่อนร่วมเดินทางจากกรุ๊ปอี ไออี และเพื่อนของเพื่อน มาประกอบกันเป็นกลุ่ม 12 คนพอดี๊พอดี นัดกันเจอที่หมอชิต ออกรถโดยชุมแพทัวร์เมื่อตอนสามทุ่ม นั่งๆ นอนๆ ดูวีซีดีเฮียอาร์โนลด์ฉายเดี่ยว ไปถล่มกองทัพทหารที่แม็กซิโกเพื่อช่วยลูกสาว (แต่เล่นฆ่าทหารที่ไม่รู้เป็นพ่อของเด็กๆซะกี่คนตายกันเป็นกองทัพ) ในที่สุด ตอนตี่สี่กว่าๆก็ไปถึง 'ร้านเจ๊กิม' แวะทานข้าวเช้าก่อนจะเหมาสองแถวขึ้นไปที่ตีนภู และเริ่มมหากาพย์การเดิน ที่ภูกระดึงเสียที กับอา่กาศที่เย็นสบายต่างกับในกรุงเทพอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากจัดการ คอนเฟิร์มบ้าน มัดจำขยะ (ต้องมีการมัดจำขยะที่ย่อยสลายไ่ม่ได้ที่แบกขึ้นไปข้างบน โดยตอนขาลงจะต้องเอาขยะมาที่ข้างล่างเพื่อรับเงินมัดจำคืน) และก็จ้างลูกหาบ ที่ตอนนี้ถึงแม้จะขึ้นราคาจากกิโลละ 10 เป็น 15 แล้ว แต่ก็ขอยืนยันว่า 'สุดจะคุ้มเหลือเกิน' เพราะกระเป๋าแต่ละคนนีี่ก็หนัก 6-8 โลกันทั้งนั้น (ภาพด้านซ้ายนี่หวานจังเรยยย)
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์การเดินทาง กับการตำนานการเดินขึ้นภูกระดึง ที่สุดแสนจะคลาสสิคตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่เค้าว่าแสนจะลำบากยากเข็ญ กับระยะทาง 5 กิโลกว่าๆ ขึ้นไปสูงถึงประมาณ 1.2 กม จากระดับน้ำทะเล (แต่ตอนนั่งรถจากตีนภูขึ้นมาถึงที่ทำการ ก็ขึ้นมาเกือบสองร้อยเมตรแล้วแหละ)
หลังจากเริ่มจากจุดสตาร์ทได้ไม่ถึงสิบนาที ทุกคนก็พร้อมใจถอดเสื้อหนาวออกกันถ้วนหน้า ถึงเหงื่อจะไม่ออกเพราะอากาศเย็น แต่ร่างกายก็ปรับอุณหภูมิขึ้นมาทันที กับความชันที่มาแบบไม่ยั้งจนกระทั่งถึงซำแฮก ข้างทางเป็นป่าไผ่ที่ตอนนี้กำลังแห้งๆ ออกสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนเป็นการเกริ่นนำว่า ขึ้นไป วิวสวยกว่านี้แน่น้อนน
แปร๊บๆก็เดินไปหนึ่งกิโลเมตร ขึ้นไปถึงซำแฮก จุดพัำำกแรกที่ก็แฮกกันถ้วนหน้า (ยกเว้นเฮียแมนที่ฟิตตลอดทาง กับคุณโบที่ตอนนี้ยังอยู่ในกลุ่ม 'ผู้นำ'อยู่ )
เนื่องจากเราใช้นโยบายเดินแบบชิลๆ ก็เลยพักมันทุกที่ที่มีจุัดพักเนี่ยแหละ จะว่าไปทริปนี้เป็นทริปที่เรื่องอาหารการกินอุดมสมบูรณ์แบบไม่น่าเชื่อ คือก่อนมานึกว่าจะต้องอดอยากกว่าเนี้ยะ แต่นี้ พักที ก็สั่งน้ำปั่นมั่ง น้ำแข็งไสมั่ง แตงโมมั้ง และที่มาแรงแซงโค้งพอๆกันคือ 'ไข่ปิ้ง' กะ 'ข้าวเหนียวปิ้ง' โดยเฉพาะไข่เนี่ย แทบจะกินกันทุกมื้อ (ถึงไม่ใช่ไข่ปิ้ง ก็ไข่เจียวมั่ง) ทั้งๆที่ความจริง แบกไข่ขึ้นมามันน่าจะยากนะ (เนอะ)
เดินไปเดินมา ในที่สุดก็ถึง 'ซำแคร่' (กรุณาดูแผนที่ประกอบ) จุดพักสุดท้ายก่อนถึงหลังแป ซึ่งเหมือนเปนจุดสตาร์ท 'ของจริง' คือ ขึ้นไปพรวดเดียว 1.3 กมกับความสูงที่ต้องไต่ขึ้นไปประมาณสามร้อยเมตรได้ พูดง่ายๆคือโคตรชันว่างั้นเหอะ มีทางขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งต้องปีนๆขึ้นไป ทั้งบันไดที่ชันพอๆกับนครวัด (ไม่รู้ลูกหาบหาบของขึ้นไปได้ไง)
แต่ว่า เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้เหนื่อยมากนะ เผลอแผล่บๆก็ ถึงซะแล้วหลังแป (เย้) คือมันถึงโดยไม่คิดว่าจะถึงแล้วจิงๆเหอะ คือทุกคนก็ อ้าว ถึงแล้วเรอะ สรุปคือ มันไม่ได้ยากกว่าที่คิดหรอก ไอ้ตอนขึ้นเนี่ย (แต่ตอนอื่นค่อยว่าอีกทีนะ 55) แน่น้อน ก็ขึ้นไปถึงตอนเที่ยง นับๆเวลาได้สี่ชั่วโมงครึ่งในการปีนขึ้นมา ก็นับว่าโอนะ เพราะเล่นพักชิลๆไปทุกๆจุดเลย แน่นอนว่าขึ้นมาถึง ต้องถ่ายรูปกับป้ายสุดคลา่สสิคที่ทุกคนต้องมี ถือเป็นชอตบังคับกันว่างั้นเหอะ ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณไอ้กี๋ ที่แบก D70 พร้อมออปชั่นครบครัน มาเป็นช่างภาพประจำทริป จบทริปนี้เลยได้รูปสวยๆไปตรึม จุใจไปข้าง
ถึงแม้จะ 'ขึ้นไปถึง'แล้ว แต่ความจริงก็คือ ขึ้นแม้จะไปถึงหลังแปแล้ว ยังต้องเดินอีก 3 กิโลน่ะสิ ตามเว็บก็เห็นเขียนกันว่า ตอนขึ้นน่ะเหนื่อย แต่ไอ้สามโลนี่ชิลๆ แต่ทำไมกูคิดว่าขึ้นน่ะชิลๆ แต่เดินเนี่ยโคตรเหนื่อยเลยวะ -_- คือไอ้สามโลเนี่ย ต้นไม้มันไม่คลุมทางเดิน ก็เลยร้อนแดดสุดๆ แถมทางยังเป็นทรายละเอียดเหมือนเดินชายหาดที่เสม็ดยังไงอย่างงั้น เพิ่มความทรหดขึ้นไปอีก ไอ้ตอนขึ้นมานี่ไม่ค่อยถามกันหรอกว่า ไมไม่ถึงสักทีวะ แต่ไอ้ตอนเดินสามโลอันเนี้ยะ บ่นตลอดเลยว่างั้นเหอะ 55 สรุปคือต้องเดินไปอีกประมาณชั่วโมง กว่าจะถึงศูนย์ก็บ่าย
ไปถึงก็รอกระเป๋า (นี่เราเดินไปถึงก่อนกระเป๋านะเฟ่ย 55) ตอนนั่งรอก็เจอพวกแพร ที่ขึ้นมากันก่อน ช่วงนี้ก็เงี้ยะแหละ เด็กจุฬาขึ้นมาตรึม ขึ้นมาก็เจอข่าวดีเลย เพราะว่าบ้านพักของพวกเรา มีเครื่องทำน้ำอุ่น(พลังแก๊ส) นั่นเอง คือความจริงมันก็มีทุกบ้านแหละ แต่ว่าก่อนมาไม่รู้ไงว่ามี อุตส่าห์ทำใจแทบตายก่อนมา ซึ่งไอ้ตอนได้อาบน้ำอุ่นเนี่ย เหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆนะเนี่ย ไม่มีคงไม่ได้อาบกันชัวร์
ส่วนบ้านพักนี่ ก็ใช้ได้เลยนะ ถึงจะไกล(มากๆ)ไปหน่อย ก็มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ มีฟูก หมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวพร้อมที่แขวน ดีกว่าที่คิดไว้เลยแหละ ยัีงไงก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้่วที่เช่าบ้าน ไม่งั้นนอนเต้นท์คงลำบากกว่านี้เยอะ แค่เอาของมากองก็คงเต็มเต้นท์แล้ว ไหนจะเรื่องห้องน้ำอะไรอีก สรุปคือคุ้มสุดๆ ไม่งั้นฟีลต่อทริปนี้อาจจะกลับตรงข้ามเลยก็ได้มั้ง (เหมือนตอนไปโฮสเทลที่นิวยอร์ก ที่พอเหนื่อยๆกลับมาต้องเจอที่พักที่ต้องมาลำบากอีก)
ถึงบ้าน จัดของเรียบร้อยปุ๊บ ก็ได้เวลานอน 55 ตื่นมาอีกทีตอนเกือบห้าโมง ตอนแรกไอ้กี๋ว่าจะฟิตไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่ไปๆมาๆก็เจอโรคขี้เกียจ เลยเดินเล่น ชาร์จแบตที่ศูนย์ อากาศดีสุดๆ (คิดถึงจัง) ตกเย็นก็สมกับชื่อ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง เพราะมีกวางมาป้วนเปี้ยนตรึม
ตกเย็นก็ซัดข้าวเย็นกันไป ต้องขอบคุณฟาร์มกะแพรที่ช่วยแนะนำวางแผนการเดินเที่ยวกัน ถ้าไม่ได้นี่ก็คงยังงงๆอยู่ว่าควรจะเดินยังไงดี
จบไปแล้วกับวันแรก คอยติดตามตอนต่อไป กับวันที่2 : ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ตระเวนเดินชมผากว่าสิบโล ^^
แล้วก็ อย่าลืมนะครับ พฤหัสนี้ อบจ จุฬา เลือกเบอร์ 1 one plus ยกทีม :D
หลังจากกลับมาจากเสม็ดด้วยสภาพร่างกายที่ยับเยิน ก็มีเวลาพักหนึ่งวันก่อนที่จะไปยับเยินต่อ (ฮา) ที่ ภูกระดึง หนึ่งในสถานที่ที่แต่ก่อนไม่เคยคิดที่จะอยากขึ้นไปสักนิด แต่เวลาผ่านไปความคิดก็เปลี่ยนไป กลายเป็น 'สักครั้งน่าในชีวิต ที่จะต้องขึ้นไปสักครั้ง' จริงๆไอ้วันกลับจากเสม็ดนี่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า นี่กูจะไปไหวป่าวเนี่ย แต่ก็.. เอาเฮอะ ยังไงก็ต้องไปน่า
ต้องเท้าความไปถึงก่อนปิดกีลามหาลัยตอนโน้นนนนน ที่การวางแผนทริปไปเที่ยวช่วงนี้แตกออกเปนสองกลุ่ม กลุ่มนึงไปเสม็ด อีกกลุ่มไปภูกระดึง ไม่รู้จัดการยังไง แต่สุดท้ายเราก็อุตส่าห์ดันให้สองทริปนี้มันไม่ซ้อนเวลากัน แล้วก็ไปแม่งทั้งสองที่เลย (โดยไม่เจียมสังขารตัวเองซะก่อน 55)
คราวนี้ได้เพื่อนร่วมเดินทางจากกรุ๊ปอี ไออี และเพื่อนของเพื่อน มาประกอบกันเป็นกลุ่ม 12 คนพอดี๊พอดี นัดกันเจอที่หมอชิต ออกรถโดยชุมแพทัวร์เมื่อตอนสามทุ่ม นั่งๆ นอนๆ ดูวีซีดีเฮียอาร์โนลด์ฉายเดี่ยว ไปถล่มกองทัพทหารที่แม็กซิโกเพื่อช่วยลูกสาว (แต่เล่นฆ่าทหารที่ไม่รู้เป็นพ่อของเด็กๆซะกี่คนตายกันเป็นกองทัพ) ในที่สุด ตอนตี่สี่กว่าๆก็ไปถึง 'ร้านเจ๊กิม' แวะทานข้าวเช้าก่อนจะเหมาสองแถวขึ้นไปที่ตีนภู และเริ่มมหากาพย์การเดิน ที่ภูกระดึงเสียที กับอา่กาศที่เย็นสบายต่างกับในกรุงเทพอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากจัดการ คอนเฟิร์มบ้าน มัดจำขยะ (ต้องมีการมัดจำขยะที่ย่อยสลายไ่ม่ได้ที่แบกขึ้นไปข้างบน โดยตอนขาลงจะต้องเอาขยะมาที่ข้างล่างเพื่อรับเงินมัดจำคืน) และก็จ้างลูกหาบ ที่ตอนนี้ถึงแม้จะขึ้นราคาจากกิโลละ 10 เป็น 15 แล้ว แต่ก็ขอยืนยันว่า 'สุดจะคุ้มเหลือเกิน' เพราะกระเป๋าแต่ละคนนีี่ก็หนัก 6-8 โลกันทั้งนั้น (ภาพด้านซ้ายนี่หวานจังเรยยย)
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์การเดินทาง กับการตำนานการเดินขึ้นภูกระดึง ที่สุดแสนจะคลาสสิคตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่เค้าว่าแสนจะลำบากยากเข็ญ กับระยะทาง 5 กิโลกว่าๆ ขึ้นไปสูงถึงประมาณ 1.2 กม จากระดับน้ำทะเล (แต่ตอนนั่งรถจากตีนภูขึ้นมาถึงที่ทำการ ก็ขึ้นมาเกือบสองร้อยเมตรแล้วแหละ)
สู้ๆ สู้ตาย กม.0 ตอน 7.35 น. หน้าตายังดีกันอยู่
หลังจากเริ่มจากจุดสตาร์ทได้ไม่ถึงสิบนาที ทุกคนก็พร้อมใจถอดเสื้อหนาวออกกันถ้วนหน้า ถึงเหงื่อจะไม่ออกเพราะอากาศเย็น แต่ร่างกายก็ปรับอุณหภูมิขึ้นมาทันที กับความชันที่มาแบบไม่ยั้งจนกระทั่งถึงซำแฮก ข้างทางเป็นป่าไผ่ที่ตอนนี้กำลังแห้งๆ ออกสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนเป็นการเกริ่นนำว่า ขึ้นไป วิวสวยกว่านี้แน่น้อนน
แปร๊บๆก็เดินไปหนึ่งกิโลเมตร ขึ้นไปถึงซำแฮก จุดพัำำกแรกที่ก็แฮกกันถ้วนหน้า (ยกเว้นเฮียแมนที่ฟิตตลอดทาง กับคุณโบที่ตอนนี้ยังอยู่ในกลุ่ม 'ผู้นำ'อยู่ )
เนื่องจากเราใช้นโยบายเดินแบบชิลๆ ก็เลยพักมันทุกที่ที่มีจุัดพักเนี่ยแหละ จะว่าไปทริปนี้เป็นทริปที่เรื่องอาหารการกินอุดมสมบูรณ์แบบไม่น่าเชื่อ คือก่อนมานึกว่าจะต้องอดอยากกว่าเนี้ยะ แต่นี้ พักที ก็สั่งน้ำปั่นมั่ง น้ำแข็งไสมั่ง แตงโมมั้ง และที่มาแรงแซงโค้งพอๆกันคือ 'ไข่ปิ้ง' กะ 'ข้าวเหนียวปิ้ง' โดยเฉพาะไข่เนี่ย แทบจะกินกันทุกมื้อ (ถึงไม่ใช่ไข่ปิ้ง ก็ไข่เจียวมั่ง) ทั้งๆที่ความจริง แบกไข่ขึ้นมามันน่าจะยากนะ (เนอะ)
เดินไปเดินมา ในที่สุดก็ถึง 'ซำแคร่' (กรุณาดูแผนที่ประกอบ) จุดพักสุดท้ายก่อนถึงหลังแป ซึ่งเหมือนเปนจุดสตาร์ท 'ของจริง' คือ ขึ้นไปพรวดเดียว 1.3 กมกับความสูงที่ต้องไต่ขึ้นไปประมาณสามร้อยเมตรได้ พูดง่ายๆคือโคตรชันว่างั้นเหอะ มีทางขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งต้องปีนๆขึ้นไป ทั้งบันไดที่ชันพอๆกับนครวัด (ไม่รู้ลูกหาบหาบของขึ้นไปได้ไง)
แต่ว่า เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้เหนื่อยมากนะ เผลอแผล่บๆก็ ถึงซะแล้วหลังแป (เย้) คือมันถึงโดยไม่คิดว่าจะถึงแล้วจิงๆเหอะ คือทุกคนก็ อ้าว ถึงแล้วเรอะ สรุปคือ มันไม่ได้ยากกว่าที่คิดหรอก ไอ้ตอนขึ้นเนี่ย (แต่ตอนอื่นค่อยว่าอีกทีนะ 55) แน่น้อน ก็ขึ้นไปถึงตอนเที่ยง นับๆเวลาได้สี่ชั่วโมงครึ่งในการปีนขึ้นมา ก็นับว่าโอนะ เพราะเล่นพักชิลๆไปทุกๆจุดเลย แน่นอนว่าขึ้นมาถึง ต้องถ่ายรูปกับป้ายสุดคลา่สสิคที่ทุกคนต้องมี ถือเป็นชอตบังคับกันว่างั้นเหอะ ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณไอ้กี๋ ที่แบก D70 พร้อมออปชั่นครบครัน มาเป็นช่างภาพประจำทริป จบทริปนี้เลยได้รูปสวยๆไปตรึม จุใจไปข้าง
ถึงแม้จะ 'ขึ้นไปถึง'แล้ว แต่ความจริงก็คือ ขึ้นแม้จะไปถึงหลังแปแล้ว ยังต้องเดินอีก 3 กิโลน่ะสิ ตามเว็บก็เห็นเขียนกันว่า ตอนขึ้นน่ะเหนื่อย แต่ไอ้สามโลนี่ชิลๆ แต่ทำไมกูคิดว่าขึ้นน่ะชิลๆ แต่เดินเนี่ยโคตรเหนื่อยเลยวะ -_- คือไอ้สามโลเนี่ย ต้นไม้มันไม่คลุมทางเดิน ก็เลยร้อนแดดสุดๆ แถมทางยังเป็นทรายละเอียดเหมือนเดินชายหาดที่เสม็ดยังไงอย่างงั้น เพิ่มความทรหดขึ้นไปอีก ไอ้ตอนขึ้นมานี่ไม่ค่อยถามกันหรอกว่า ไมไม่ถึงสักทีวะ แต่ไอ้ตอนเดินสามโลอันเนี้ยะ บ่นตลอดเลยว่างั้นเหอะ 55 สรุปคือต้องเดินไปอีกประมาณชั่วโมง กว่าจะถึงศูนย์ก็บ่าย
ไปถึงก็รอกระเป๋า (นี่เราเดินไปถึงก่อนกระเป๋านะเฟ่ย 55) ตอนนั่งรอก็เจอพวกแพร ที่ขึ้นมากันก่อน ช่วงนี้ก็เงี้ยะแหละ เด็กจุฬาขึ้นมาตรึม ขึ้นมาก็เจอข่าวดีเลย เพราะว่าบ้านพักของพวกเรา มีเครื่องทำน้ำอุ่น(พลังแก๊ส) นั่นเอง คือความจริงมันก็มีทุกบ้านแหละ แต่ว่าก่อนมาไม่รู้ไงว่ามี อุตส่าห์ทำใจแทบตายก่อนมา ซึ่งไอ้ตอนได้อาบน้ำอุ่นเนี่ย เหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆนะเนี่ย ไม่มีคงไม่ได้อาบกันชัวร์
ส่วนบ้านพักนี่ ก็ใช้ได้เลยนะ ถึงจะไกล(มากๆ)ไปหน่อย ก็มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ มีฟูก หมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวพร้อมที่แขวน ดีกว่าที่คิดไว้เลยแหละ ยัีงไงก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้่วที่เช่าบ้าน ไม่งั้นนอนเต้นท์คงลำบากกว่านี้เยอะ แค่เอาของมากองก็คงเต็มเต้นท์แล้ว ไหนจะเรื่องห้องน้ำอะไรอีก สรุปคือคุ้มสุดๆ ไม่งั้นฟีลต่อทริปนี้อาจจะกลับตรงข้ามเลยก็ได้มั้ง (เหมือนตอนไปโฮสเทลที่นิวยอร์ก ที่พอเหนื่อยๆกลับมาต้องเจอที่พักที่ต้องมาลำบากอีก)
ถึงบ้าน จัดของเรียบร้อยปุ๊บ ก็ได้เวลานอน 55 ตื่นมาอีกทีตอนเกือบห้าโมง ตอนแรกไอ้กี๋ว่าจะฟิตไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่ไปๆมาๆก็เจอโรคขี้เกียจ เลยเดินเล่น ชาร์จแบตที่ศูนย์ อากาศดีสุดๆ (คิดถึงจัง) ตกเย็นก็สมกับชื่อ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง เพราะมีกวางมาป้วนเปี้ยนตรึม
ตกเย็นก็ซัดข้าวเย็นกันไป ต้องขอบคุณฟาร์มกะแพรที่ช่วยแนะนำวางแผนการเดินเที่ยวกัน ถ้าไม่ได้นี่ก็คงยังงงๆอยู่ว่าควรจะเดินยังไงดี
จบไปแล้วกับวันแรก คอยติดตามตอนต่อไป กับวันที่2 : ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ตระเวนเดินชมผากว่าสิบโล ^^
แล้วก็ อย่าลืมนะครับ พฤหัสนี้ อบจ จุฬา เลือกเบอร์ 1 one plus ยกทีม :D
โพสต่อไวๆ
ชั้นอัพอัมพวาตั้งนานแร้วนะ
แหม่ อย่างกับของกรูน้อยงั้นเหอะ