ร้อนครับ ร้อนมากกกก ร้อนได้อีกกกกกกกก ร้อนจนขอบ่นเปิดเอนทรี่นี้อย่างไม่มีสาเหตุ...
อะแฮ่ม... กลับสู่ภาวะปกติ...
อะแฮ่ม... กลับสู่ภาวะปกติ...
อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์แรกจริงๆที่ได้รับรู้ชีวิต 'ปิดเทอม' หลังจากวุ่นวายมาตลอด... (จริงๆ ตอนนี้ก็ยังมีเรื่องให้วุ่นเป็นระยะๆ)
ว่างๆแบบนี้ เลยได้มีโอกาสรื้อกรุดีวีดีมาเปิดดู ซึ่งตั้งใจจะหาเรื่อง Tales from Earthsea (2006) ซึ่งเป็น Animation จาก Studio Ghibli ซึ่งเป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นชื่อดังจากญี่ปุ่น ที่สร้างผลงานระดับออสการ์มาแล้วกับ Spirited Away (2002)
สาเหตุที่ตั้งใจจะดูเรื่องนี้ก็เพราะคราวก่อนไปยืมดูหนังเรื่องนี้ที่ TCDC ได้แค่ประมาณ 10 นาทีก็ต้องรีบออกไปทำธุระเสียก่อน
หลังจากหาได้อยู่พักใหญ่ ก็เจอจนได้ แต่ปรากฏว่าเปิดกล่องมาแล้ว กลายเป็นกล่องเปล่าซะงั้น -_-" เลยต้องเปลี่ยนแผนมาดูหนังอีกเรื่องของ Ghibli ที่ชื่อ Howl's Moving Castle (2004) มาดูแทน
เรื่อง Howl's Moving Castle นี้ยังมีกลิ่นอายของลายเส้นแบบ Spirited Away อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างของ ยายแก่ และ พระเอก ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัดผมทรง ม้า อรณภา เหมือนกันทั้งสองเรื่อง (แต่หน้าตาเป็นพระเอกนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหมือนกับเจ๊ม้า 55)
็็
Howl's ยังมีความ Fantasy มากอยู่พอควร ถึงแม้ว่าจะไม่ตื่นตาตื่นใจกับรายละเอียดมากมายเท่ากับ Spirited Away ก็ตาม แต่เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องกลับ ' โดน' กว่า สรุปว่า ใช่เลย สนุก เพลิดเพลิน ลองหามาดูละกัน! (Multimedia Library ที่ TCDC ก็มีให้ยืมดู) จริงๆแล้วชอบจนงานหนังสือก็หาหนังสือแปลเรื่องนี้มาอ่าน (สนพ มติชน) ซึ่งมีหลายอย่างเหมือนกันที่แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นแอนิเมชั่น ตอนนี้ก็กำลังอ่านอยู่
หลังจากประทับใจจอร์จกับ Howl ไปเต็มๆ เลยเกิดอาการคลั่น Ghibli มาชั่วขณะ วันพุธเลยออกไป TCDC ยืม Tales of Earthsea มาดูต่อจนจบเรื่องให้หายอยาก (จริงๆแล้วมาดูที่ TCDC นี่สบายกว่าที่บ้านเยอะเลย เพียงแต่ส่วนมากจะขี้เกียจออกจากบ้านเท่านั้นเอง 55)
ปรากฏว่าเรื่องนี้กลับ 'เฉยๆ' ซะงั้น เนื้อเรื่องมืดกว่าสองเรื่องก่อนหน้าเยอะ ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ สรุปว่าผิดหวัง :( สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการเปลี่ยนผู้กำกับ
็็
Howl's ยังมีความ Fantasy มากอยู่พอควร ถึงแม้ว่าจะไม่ตื่นตาตื่นใจกับรายละเอียดมากมายเท่ากับ Spirited Away ก็ตาม แต่เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องกลับ ' โดน' กว่า สรุปว่า ใช่เลย สนุก เพลิดเพลิน ลองหามาดูละกัน! (Multimedia Library ที่ TCDC ก็มีให้ยืมดู) จริงๆแล้วชอบจนงานหนังสือก็หาหนังสือแปลเรื่องนี้มาอ่าน (สนพ มติชน) ซึ่งมีหลายอย่างเหมือนกันที่แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นแอนิเมชั่น ตอนนี้ก็กำลังอ่านอยู่
หลังจากประทับใจจอร์จกับ Howl ไปเต็มๆ เลยเกิดอาการคลั่น Ghibli มาชั่วขณะ วันพุธเลยออกไป TCDC ยืม Tales of Earthsea มาดูต่อจนจบเรื่องให้หายอยาก (จริงๆแล้วมาดูที่ TCDC นี่สบายกว่าที่บ้านเยอะเลย เพียงแต่ส่วนมากจะขี้เกียจออกจากบ้านเท่านั้นเอง 55)
ปรากฏว่าเรื่องนี้กลับ 'เฉยๆ' ซะงั้น เนื้อเรื่องมืดกว่าสองเรื่องก่อนหน้าเยอะ ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ สรุปว่าผิดหวัง :( สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการเปลี่ยนผู้กำกับ
-------------------------
ขากลับ ระหว่างจะขึ้น BTS ออกจากพร้อมพงษ์ ก็บังเอิญไปเจอสาวนักท่องเที่ยวเกาหลีสามคน กำลังกางแผนที่อยู่ ต้องนับว่าเธอตาคมมากที่เข้ามาถามทางเรา 555 เพราะทั้งสามคนกำลังจะไป Central World ซึ่งบังเอิ๊ญญญ บังเอิญญ ว่าไอ้เราก็กำลังมีธุระต้องไปทำที่ CTW พอดี (บังเอิญจริงๆเฟ่ย) ก็เลยอาสาไกด์ไปให้
จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ ก็มีประสบการณ์เป็นเจ้าบ้านที่ดี ไกด์ทางนักท่องเที่ยวมาบ้าง แต่ครั้งนี้มันต่างไปเล็กน้อยเพราะแทนที่จะชี้ๆ และอวยพรให้เค้าหาเจอ คราวนี้ได้มีโอกาสพาไปถึงที่เลย แล้วก็ได้คุยหลายๆเรื่องระหว่างทาง
ทั้งหมดนี้ก็เหมือนเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่กลับทำให้อารมณ์ดีไปทั้งวัน :) ถ้าเป็นญี่ปุ่นคงต้องบอก kimochii แต่เกาหลีไม่รู้ว่ะ 555
หรือว่า... จริงๆแล้ว อาชีพที่เหมาะกับกรูคือการเป็นไกด์รึเปล่าเนี่ย !?
ปล. ดีใจจัง TCDC ไม่ย้ายแล้วว้อยยยยยยยย
จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ ก็มีประสบการณ์เป็นเจ้าบ้านที่ดี ไกด์ทางนักท่องเที่ยวมาบ้าง แต่ครั้งนี้มันต่างไปเล็กน้อยเพราะแทนที่จะชี้ๆ และอวยพรให้เค้าหาเจอ คราวนี้ได้มีโอกาสพาไปถึงที่เลย แล้วก็ได้คุยหลายๆเรื่องระหว่างทาง
ทั้งหมดนี้ก็เหมือนเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่กลับทำให้อารมณ์ดีไปทั้งวัน :) ถ้าเป็นญี่ปุ่นคงต้องบอก kimochii แต่เกาหลีไม่รู้ว่ะ 555
หรือว่า... จริงๆแล้ว อาชีพที่เหมาะกับกรูคือการเป็นไกด์รึเปล่าเนี่ย !?
ปล. ดีใจจัง TCDC ไม่ย้ายแล้วว้อยยยยยยยย
ตอนนี้คงจะเป็นตอนสุดท้าย (สักที) สำหรับทริป Macau - HK
---- 27 Repulse Bay ----
แน่น้อนน มีคุณ ผปค มา งานนี้เลยขออนุญาติสั่งเป่าฮื้อมากินซะหน่อย ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยยันหลักหมื่น!!!! (คงไม่ต้องบอกนะว่าจิ้มเอาอันทีุ่ถูกสุด 55) รูปทางขวานั่นแหละ เป็นเป่าฮื้อ วางบนผักโขม ข้างล่างสุดน่าจะเป็นเห็ดชิตาเกะ ส่วนภาพทางซ้ายนั่นก็เป็นหอยเชลล์ย่างพันด้วยเบค่อน ซึ่งเป็นอะไรที่ฉลาดมาก เพราะเอากลิ่นหอมของเบค่อนย่างมาเสริมกับความหนานุ่มของหอยเชลส์ (เขียนแล้วก็น้ำลายไหล)
สรุปว่ามื้อนี้อิ่มอร่อยประทับใจสุดๆ ส่วนกระเป๋าอาจจะฉีกเล็กน้อยแต่ก็เป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อ ขอทิ้งท้ายอีกนิดว่าห้องน้ำที่นี่ไฮโซสุดๆ ระดับที่มีคนบริการคอยส่งผ้าเช็ดมือให้อยู่ข้างใน (เหยอ) อายังบ่นว่าคงไม่กล้าไปเช็คเมคอัพในห้องน้ำนี้ 555
---- 27 Repulse Bay ----
หลังจากได้ของกินติดไม้ติดมือมาแล้ว ก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่ท่ารถเมล์ Exchange Square ข้างๆตึก ifc เพื่อนึกรถเมล์ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ Repulse Bay กัน (สาย 6 6A 6X)
แล้วรถเมล์ก็พาขึ้นเขา วนไปวนมา ที่นี่ใช้ืพื้นที่กันสุดยอดจริงๆ ขนาดบนเขาชันๆทางโค้งๆยังมีป้ายรถเมล์เล้ย นั่งไปได้สักครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณ Repulse Bay ซึ่งช่วงนี้ยังไม่ใช่ Summer เลยไม่มีใครมาลงเล่นน้ำในหาด
เดินมาได้สักสามร้อยเมตรก็ถึงบริเวณวัด ซึ่งมีกรุ๊ปทัวร์มาลงเต็มไปหมด (รวมถึงกรุ๊ปคนไทยมากมาย) ไอ้เราก็ตามเคย เนียนไปฟังเค้า (เป็นอย่างนี้ตอนไป Tower of London ทีนึงและ) วัดนี้จริงๆแล้วมี Gimmick เยอะมาก ถ้าอยากรู้ว่าจะไหว้ยังไงดีก็คงต้องมากับทัวร์นั่นแหละ
สำหรับเจ้าแม่กวนอิม ถ้ามองที่พื้นจะเห็นจุดหนึ่งมีกระเบื้องปูเป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ (พื้นบริเวณอื่นเป็นพื้นปูน) ซึ่งจุดนั้นเป็นจุดที่ดีที่สุดในการไหว้เจ้าแม่กวนอิม
ส่วนรูปปั้นปูนปลาที่เห็นอยู่ในภาพ เขาก็จะให้โยนเหรียญให้ตกอยู่ในปากปลาให้ได้ เพื่อพรจะได้สมหวัง ส่วนสะพานในรูปนั้นก็ให้ข้ามออก (มั้ง?) อายุจะได้ยืนขึ้น (ถ้าข้ามผิดฝั่งก็สั้นลง)
นอกจากนั้นยังมีเทพที่ทำท่าจดหนังสืออะไรสักอย่างอยู่ เขาก็ให้เราบอกชื่อ บอกเบอร์บัญชีธนาคารซะ เทพเค้าจะได้จดไม่ให้เงินรั่วไหลไปไหน มีแต่เพิ่มพูนๆ (แต่สมัยนี้คงเหนื่อยหน่อย แต่ละคนมีหลายบุ๊คเหลือเกิน แถมโยกเงินกันว่าเล่น 55) แล้วก็มีบางที่ที่ให้ลูบพุงรูปปั้นลงมาแล้วเอามือใส่กระเป๋า จะได้มีโชคมีลาภ โอ๊ยยย เยอะแยะ
---- 28 Cuisine Cuisine ----
แล้วรถเมล์ก็พาขึ้นเขา วนไปวนมา ที่นี่ใช้ืพื้นที่กันสุดยอดจริงๆ ขนาดบนเขาชันๆทางโค้งๆยังมีป้ายรถเมล์เล้ย นั่งไปได้สักครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณ Repulse Bay ซึ่งช่วงนี้ยังไม่ใช่ Summer เลยไม่มีใครมาลงเล่นน้ำในหาด
เดินมาได้สักสามร้อยเมตรก็ถึงบริเวณวัด ซึ่งมีกรุ๊ปทัวร์มาลงเต็มไปหมด (รวมถึงกรุ๊ปคนไทยมากมาย) ไอ้เราก็ตามเคย เนียนไปฟังเค้า (เป็นอย่างนี้ตอนไป Tower of London ทีนึงและ) วัดนี้จริงๆแล้วมี Gimmick เยอะมาก ถ้าอยากรู้ว่าจะไหว้ยังไงดีก็คงต้องมากับทัวร์นั่นแหละ
สำหรับเจ้าแม่กวนอิม ถ้ามองที่พื้นจะเห็นจุดหนึ่งมีกระเบื้องปูเป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ (พื้นบริเวณอื่นเป็นพื้นปูน) ซึ่งจุดนั้นเป็นจุดที่ดีที่สุดในการไหว้เจ้าแม่กวนอิม
ส่วนรูปปั้นปูนปลาที่เห็นอยู่ในภาพ เขาก็จะให้โยนเหรียญให้ตกอยู่ในปากปลาให้ได้ เพื่อพรจะได้สมหวัง ส่วนสะพานในรูปนั้นก็ให้ข้ามออก (มั้ง?) อายุจะได้ยืนขึ้น (ถ้าข้ามผิดฝั่งก็สั้นลง)
นอกจากนั้นยังมีเทพที่ทำท่าจดหนังสืออะไรสักอย่างอยู่ เขาก็ให้เราบอกชื่อ บอกเบอร์บัญชีธนาคารซะ เทพเค้าจะได้จดไม่ให้เงินรั่วไหลไปไหน มีแต่เพิ่มพูนๆ (แต่สมัยนี้คงเหนื่อยหน่อย แต่ละคนมีหลายบุ๊คเหลือเกิน แถมโยกเงินกันว่าเล่น 55) แล้วก็มีบางที่ที่ให้ลูบพุงรูปปั้นลงมาแล้วเอามือใส่กระเป๋า จะได้มีโชคมีลาภ โอ๊ยยย เยอะแยะ
---- 28 Cuisine Cuisine ----
ขากลับเรานั่งแทกซี่ย้อนกลับมาที่ ifc Mall เพราะกะจะชอปปิ้งย่าน Central อย่างไรก็ตามต้องหาของกินซะก่อน พอขึ้นไปชั้น 3 ก็เห็นมีร้านโจ๊กน่ากินเชียว แต่กินโจ๊กมาหลายมื้อและเลยขอข้ามไปก่อน เดินต่อมาอีกก็เห็นร้านขายของหวานน่ากินโคตรๆๆๆ แต่ก็นั่นแหละ ยังไม่ใช่เป้าหมายในตอนนั้น ซึ่งก็คือหาร้านติ่มซำอร่อยๆกิน เพราะตั้งแต่มายังไม่เจอร้านที่ถูกใจซะเท่าไหร่
เดินๆไปก็เห็นร้านนึงซึ่งน่าจะขายติ่มซำแน่ๆ แต่ปรากฏว่าเต็มซะงั้นอะ ก็เลยต้องอกหักเดินกันต่อไป จนกระทั่งมาเจอร้าน Cuisine Cuisine ที่ชั้น 2 หลังจากลังเลอยู่นานก็ตัดสินใจเข้าร้านละกัน
เข้ามาแล้วถึงกับอึ้ง! คือนอกร้านก็ไม่เห็นว่ามันจะใหญ่อะไรนะ แต่พอพาเข้ามาแล้วถึงกับตะลึงกับตัวร้านด้านในที่นอกจากจะเพดานสูง ด้านขวามือเป็นวิวอ่าวทั้งแถบแล้ว ยังตกแต่งร้านอย่างดีด้วย (โดยเฉพาะแชนเดอเลียที่สวยโคตร) เล่นเอาแอบตัวหดๆไปหน่อย เพราะมองไปรอบๆก็มีแต่พวกนักธุรกิจ หรือคนแต่งตัวดีๆมากิน 55 ไอ้เรานี่เป็นกระเหรี่ยงหลงมาแท้ๆเลย
เดินๆไปก็เห็นร้านนึงซึ่งน่าจะขายติ่มซำแน่ๆ แต่ปรากฏว่าเต็มซะงั้นอะ ก็เลยต้องอกหักเดินกันต่อไป จนกระทั่งมาเจอร้าน Cuisine Cuisine ที่ชั้น 2 หลังจากลังเลอยู่นานก็ตัดสินใจเข้าร้านละกัน
เข้ามาแล้วถึงกับอึ้ง! คือนอกร้านก็ไม่เห็นว่ามันจะใหญ่อะไรนะ แต่พอพาเข้ามาแล้วถึงกับตะลึงกับตัวร้านด้านในที่นอกจากจะเพดานสูง ด้านขวามือเป็นวิวอ่าวทั้งแถบแล้ว ยังตกแต่งร้านอย่างดีด้วย (โดยเฉพาะแชนเดอเลียที่สวยโคตร) เล่นเอาแอบตัวหดๆไปหน่อย เพราะมองไปรอบๆก็มีแต่พวกนักธุรกิจ หรือคนแต่งตัวดีๆมากิน 55 ไอ้เรานี่เป็นกระเหรี่ยงหลงมาแท้ๆเลย
เมนูที่นี่อ่านง่าย รายการอาหารไม่พรึบพรั่บจนเกินไป แต่ละ Section จะมี Highlight อย่างละจาน แถมมีรูปยั่วน้ำลายอีก เราก็สั่งตามพวกนี้แหละ ง่ายดี (ดูน่ากินไปหมด)
อาหารที่นี่จะว่าเป็นจีนแท้ๆเลยก็ไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยเชฟก็มีการตกแต่งสีสันรูปร่างอาหารมาเป็นอย่างดี แต่ที่สำคัญที่สุดคือ อร่อยโคตร! ตั้งแต่.. อ่า หั่นจื้อโก๋ว?? ที่เป็นแป้งพายไส้หมู่แดงที่เห็นรูปด้านบนนั้น ซึ่งหาร้านที่ทำอร่อยๆยาก หรือขนมจีบซึ่งแป้งทำแบบนุ่มและเหนียวได้ใจสม่ำเสมอทั้งชิ้น (ไม่เหมือนซั่งไห่บ้านเราที่แป้งแข็งสุดๆ โดยเฉพาะจีบด้านบน)
แน่น้อนน มีคุณ ผปค มา งานนี้เลยขออนุญาติสั่งเป่าฮื้อมากินซะหน่อย ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยยันหลักหมื่น!!!! (คงไม่ต้องบอกนะว่าจิ้มเอาอันทีุ่ถูกสุด 55) รูปทางขวานั่นแหละ เป็นเป่าฮื้อ วางบนผักโขม ข้างล่างสุดน่าจะเป็นเห็ดชิตาเกะ ส่วนภาพทางซ้ายนั่นก็เป็นหอยเชลล์ย่างพันด้วยเบค่อน ซึ่งเป็นอะไรที่ฉลาดมาก เพราะเอากลิ่นหอมของเบค่อนย่างมาเสริมกับความหนานุ่มของหอยเชลส์ (เขียนแล้วก็น้ำลายไหล)
สรุปว่ามื้อนี้อิ่มอร่อยประทับใจสุดๆ ส่วนกระเป๋าอาจจะฉีกเล็กน้อยแต่ก็เป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อ ขอทิ้งท้ายอีกนิดว่าห้องน้ำที่นี่ไฮโซสุดๆ ระดับที่มีคนบริการคอยส่งผ้าเช็ดมือให้อยู่ข้างใน (เหยอ) อายังบ่นว่าคงไม่กล้าไปเช็คเมคอัพในห้องน้ำนี้ 555
---- 29 Causeway Bay ----
จาก ifc Mall เราก็เดินย่าน Central ซักนิด แต่เดินได้ไม่นานก็กลับ เพราะคนเยอะ ฟุตบาทแคบ ติดถนน (ควันเยอะ) เลยกลับไปพักที่โรงแรมสักนิดแล้วค่อยออกมาที่ Causeway Bay เลยดีกว่า
จะกี่ทีกี่ทีก็เกลียดสถานีรถใต้ดิน Causeway Bay เหมือนเคย เพราะกว่าจะเดินไปทางออกที่ตึก Time Square นอกจากจะต้องเดินขึ้นเนินแล้ว ยังไกลโคตรๆเกือบห้านาทีได้เลยมั้ง (แต่ก็บ่นไปงั้นแหละ ถ้าไม่มีทางเชื่อมก็คงต้องคลำทางไปเอง) เราแวะไปที่ City Super ดูของกินในซุปเปอร์และซื้อขนมสำหรับกลับมาแจกกันหน่อย ก่อนจะเดินออกมาและลุยช้อปๆๆๆๆๆๆ แต่ก่อนนี้ก็เคยคิดว่าไอ้พวกคนที่ไปฮ่องกงเพื่อไปชอปปิ้งอย่างเดียวนี่มันเว่อร์จริงจริ๊งง ตอนนี้ชักจะเข้าใจและว่ามันไมไ่ด้่เว่อร์ 55 เพราะในช่วงที่มันไมไ่ด้เซลล์กระหน่ำทั้งเกาะแบบนี้ ของบางอย่างยังถูกเว่อร์เลย อย่างเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ Bossini เงี้ยะ ตัวละราวๆ 320 ถูกสุดๆ กลับมายังคิดเลยว่าทำไมตอนนั้นไม่ดูเสื้อ ดูกางเกงให้มากกว่านี้เนี่ย -_- แน่นอนว่าละแวกนี้มีร้านดังๆเต็มไปหมด Levi's, Kiehl's, Bossini, Giornado Concept, G2000, MUJI, etc. อ้อ มีทาโกยากิ Gidako ด้วยที่ย่าน Time Square สาขาที่นี่ต่างจาก Esplanade ตรงที่มีทาโกะราดซอสทูน่า หรือซอสเผ็ดด้วย!
มื้อเย็นวันนี้เราไปลงเอยกันที่ร้าน New Tsui Wah Restaurant หลังโซโก้ (ดูแผนที่เอา) ดูเป็นร้านที่ขายจับฉ่ายมาก ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น แซนวิช ยันสเต๊ก ปรากฏว่า อร่อยอะ!!! ไม่น่าเชื่อ พ่อสั่งเนื้ออะไรสักอย่าง นุ่มเชียว ส่วนเราก็สั่ง lamb chop ก็ใช้ได้ ไม่เลวเลย ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยวของแม่ก็เวิร์ค นี่ถ้าไม่ิติดว่ามันทั้งเหนื่อยทั้งอิ่มเนี่ย คงได้ล่อกาแฟสดซึ่งกลิ่นหอมใช้ได้เลย
กินเสร็จก็ช้อปต่อ ขอโน้ตไว้นิดนึงว่าห้องน้ำที่ห้างโซโก้ไม่ได้เรื่องเลย แนะนำว่าไปหาที่อื่นดีกว่านะ
View Larger Map
มื้อเย็นวันนี้เราไปลงเอยกันที่ร้าน New Tsui Wah Restaurant หลังโซโก้ (ดูแผนที่เอา) ดูเป็นร้านที่ขายจับฉ่ายมาก ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น แซนวิช ยันสเต๊ก ปรากฏว่า อร่อยอะ!!! ไม่น่าเชื่อ พ่อสั่งเนื้ออะไรสักอย่าง นุ่มเชียว ส่วนเราก็สั่ง lamb chop ก็ใช้ได้ ไม่เลวเลย ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยวของแม่ก็เวิร์ค นี่ถ้าไม่ิติดว่ามันทั้งเหนื่อยทั้งอิ่มเนี่ย คงได้ล่อกาแฟสดซึ่งกลิ่นหอมใช้ได้เลย
กินเสร็จก็ช้อปต่อ ขอโน้ตไว้นิดนึงว่าห้องน้ำที่ห้างโซโก้ไม่ได้เรื่องเลย แนะนำว่าไปหาที่อื่นดีกว่านะ
View Larger Map
---- 30 Farewell ----
สี่วันผ่านไปเร็วสุดๆ ในที่สุดก็มาถึงวันสุดท้าย ตอนเช้าออกไปกวาดผลไม้ที่แผงแถว Lyndhurst Terrace ก่อนจะกลับมาแพ็คของ เช็คเอ้าท์ และออกไปตึก Shun Tak เพื่อทานอาหารกลางวันก่อนจะนั่งเรือกลับมาเก๊า และไปสนามบิน
นั่ง Air Asia ขากลับนี่รู้สึกคุ้มค่ากับการใช้ xPress Boarding มากๆ เพราะตั้งแต่วินาทีที่เครื่องแตะพื้นสนามบินมาเก๊า (ยังไม่ทันจะจอดเลย) ผู้โดยสารที่รออยู่นี่ลุกกันพรึ่บพรับไปต่อคิวหน้า Gate กันทันที! ไอ้เราก็นั่งชิลจนกระ่ทั่งมีเจ้าหน้าที่มาเปิดเกทให้ขึ้นก่อน 555 ขากลับได้นั่งเครื่อง A320 ด้วย (เครื่องใหม่ป้ายแดง) เวิร์คมากๆ
นั่ง Air Asia ขากลับนี่รู้สึกคุ้มค่ากับการใช้ xPress Boarding มากๆ เพราะตั้งแต่วินาทีที่เครื่องแตะพื้นสนามบินมาเก๊า (ยังไม่ทันจะจอดเลย) ผู้โดยสารที่รออยู่นี่ลุกกันพรึ่บพรับไปต่อคิวหน้า Gate กันทันที! ไอ้เราก็นั่งชิลจนกระ่ทั่งมีเจ้าหน้าที่มาเปิดเกทให้ขึ้นก่อน 555 ขากลับได้นั่งเครื่อง A320 ด้วย (เครื่องใหม่ป้ายแดง) เวิร์คมากๆ
ในที่สุดก็เป็นอันเสร็ํจสิ้นบล็อกครั้งนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับพ้ม หวังว่าคงจะช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย (อย่างน้อยคงมีคนอยากไปเที่ยว 55) จริงๆทริปนี้ไม่แพงเลยนะ อย่างที่เขียนไว้ ถ้าไม่นับช้อปก็ตกราวๆ 16000 ต่อคนเอง :P หวังว่าจะได้ไปอีกน้าา ฮ่องกง (ส่วนมาเก๊า เนื่องจากไม่ได้ไปเล่นบ่อนอะไร คราวหน้าถ้าไปก็คงเป็นทางผ่านอย่างเดียวแล้วมั้ง)
สรุปสิ่งทีประทับใจ และไม่ควรพลาดในทริป Macau - HK ครั้งนี้
MACAU
- Senado Sq.
- The Venetian Macau
- โจ๊กปูที่ Senado Sq.
- ทาร์ตไข่ที่มาเก๊า
- Kun Lam Temple (สำหรับคนที่ถือเจ้าแม่กวนอิม)
HONG KONG
- Mong Kok
- Symphony of Light
- The Peak
- Time Square & Causeway Bay
- Chi Lin Nunnery
- Cuisine Cuisine
- Macau Restaurant
สรุปสิ่งทีประทับใจ และไม่ควรพลาดในทริป Macau - HK ครั้งนี้
MACAU
- Senado Sq.
- The Venetian Macau
- โจ๊กปูที่ Senado Sq.
- ทาร์ตไข่ที่มาเก๊า
- Kun Lam Temple (สำหรับคนที่ถือเจ้าแม่กวนอิม)
HONG KONG
- Mong Kok
- Symphony of Light
- The Peak
- Time Square & Causeway Bay
- Chi Lin Nunnery
- Cuisine Cuisine
- Macau Restaurant
มาส่งการบ้านครับผม คราวที่แล้วพลาดไป จ่อหัวเอนทรี่ว่ามี Symphony of Light แต่เอาเข้าจริงเขียนไม่ถึงซะงั้น คราวนี้ขอแก้ตัวๆ
อย่าลืมว่ามีแผนที่ให้ดูนะสำหรับทุักสถานที่ที่กล่าวในบล็อกซีรียส์นี้ ที่ Google Maps
อย่าลืมว่ามีแผนที่ให้ดูนะสำหรับทุักสถานที่ที่กล่าวในบล็อกซีรียส์นี้ ที่ Google Maps
---- 22 Macau Restaurant ----
มื้อเย็นวันนี้เรามาฝากชีวิตไว้ที่ Macau Restaurant ตรงถนน Lock Road (ขนานกับ Nathan Road) ย่าน TST แปลกดีเหมือนกัน ตอนไปมาเก๊าก็กินอาหารฮ่องกง พอมาฮ่องกงดันกินอาหารมาเก๊า :S
เช่นเคย เข้าไปก็ต้องใช้สายตาสอดส่องว่าชาวบ้านเขาสั่งไรกัน (มีเมนูอังกฤษ) คราวนี้ขอลอง นกพิราบทอด ดูสักครั้งว่าเป็นไง ก็.. คล้ายๆไก่ทอดอะ แต่ว่าตัวมันเล็ก กระดูกเลยเยอะกว่า สรุปว่าเฉยๆ แต่ที่อร่อยโคตรๆคืออาหารจำพวกแกงกะหรี่ กับสตูว์ที่นี่ อร่อยมากกกกกๆๆๆๆๆ นอกจากนี้เมนูฮอตฮิตอีกอย่างก็คือ ปลาหมึกชุบแป้งทอด ตอนแรกมองโต๊ะอื่นนึกว่าเป็นปูนิ่มซะอีก ที่ไหนได้ ปลาหมึกแท้ๆนี่เอง เสิร์ฟพร้อมกับมาโยกลิ่นวาซาบิ อร่อยดี เราปิดท้ายมื้อนี้ด้วยทาร์ตไข่ ซึ่งที่นี่ใช้แป้งสไตล์แป้งพัฟแบบที่ชอบเลย ^^
มื้อเย็นวันนี้เรามาฝากชีวิตไว้ที่ Macau Restaurant ตรงถนน Lock Road (ขนานกับ Nathan Road) ย่าน TST แปลกดีเหมือนกัน ตอนไปมาเก๊าก็กินอาหารฮ่องกง พอมาฮ่องกงดันกินอาหารมาเก๊า :S
เช่นเคย เข้าไปก็ต้องใช้สายตาสอดส่องว่าชาวบ้านเขาสั่งไรกัน (มีเมนูอังกฤษ) คราวนี้ขอลอง นกพิราบทอด ดูสักครั้งว่าเป็นไง ก็.. คล้ายๆไก่ทอดอะ แต่ว่าตัวมันเล็ก กระดูกเลยเยอะกว่า สรุปว่าเฉยๆ แต่ที่อร่อยโคตรๆคืออาหารจำพวกแกงกะหรี่ กับสตูว์ที่นี่ อร่อยมากกกกกๆๆๆๆๆ นอกจากนี้เมนูฮอตฮิตอีกอย่างก็คือ ปลาหมึกชุบแป้งทอด ตอนแรกมองโต๊ะอื่นนึกว่าเป็นปูนิ่มซะอีก ที่ไหนได้ ปลาหมึกแท้ๆนี่เอง เสิร์ฟพร้อมกับมาโยกลิ่นวาซาบิ อร่อยดี เราปิดท้ายมื้อนี้ด้วยทาร์ตไข่ ซึ่งที่นี่ใช้แป้งสไตล์แป้งพัฟแบบที่ชอบเลย ^^
---- 23 Symphony of Light @ Avenue of Stars ----
พอทุ่มครึ่งเราก็รีบออกมาจากร้านเพื่อเดินไป Avenue of Stars เนื่องจากโชว์ Symphony of Light มีตอนสองทุ่ม ก็ลงอุโมงค์เชื่อมตึกโน้นออกตึกนี้ไปมาสักพักก็มาถึงจนได้
สำหรับโชว์นี้ขอบอกว่าห้ามพลาดเ็ด็ดขาด สำหรับใครที่เพิ่งจะมาฮ่องกงคราวแรก ลำพังแสงสีจากตึกฝั่งฮ่องกงก็สวยอยู่แล้ว นี่ยังมีการยิงแสง ยิงเลเซอร์ประกอบเพลงเข้าไปอีก ซึ่งจริงๆแล้วน่าทึ่งมากๆหากจะคิดว่าต้องมีการควบคุมโชว์อย่างไร ถึงมีการเล่นแสงสีเสียงพร้อมกันเป็นบริเวณข้ามเมืองอย่างนี้ ถ้าใครเคยไปสนามกีฬาใหญ่ๆคงรู้ว่าลำพังแค่เสียงใน Stadium ให้มันพร้อมทั้งสนามยังไม่ใช้เรื่องง่ายเลย แต่นี่ ทั้งๆที่อยู่กันไกลเป็นกิโล แต่การแสดงแสงไฟของตึกทั้งตึก หลายๆตึกของฝั่งฮ่องกง ยังแสดงไปพร้อมๆกับเสียงเพลง และแสงสีของตึกฝั่งเกาลูน
---- 24 Langham Place ----
หลังจากดู SOL เสร็จแล้ว ท่านผู้ปกครองก็ขอตัวกลับไปพักที่โรงแรม ปล่อยผีเด็กโข่งสองตนไปย่ำราตรีกันต่อ 55 วันนี้ก็ยังคงไปมงก๊กเหมือนเดิม ก่อนไปก็แวะเข้าห้องน้ำที่ Langham Place เช่นเคย ก่อนจะขึ้นไปดูข้างบนของตึกนี้ เพราะโอมเคยบอกว่าตึกบ้าอะไรไม่รู้ บันไดเลื่อนยาวโคตร
แล้วมันก็จริงๆด้วย!!! ตึกบ้าอะไรเนี่ย บันไดเลื่อนชูททีเดียว 6 ชั้น เกิดมาไม่เคยเกาะราวบันไดเลื่อนแน่นขนาดนี้มาก่อน (หึหึ)นี่ไม่อยากคิดว่าถ้ามีคนล้มแล้วกลิ้งลงไปเป็นโดมิโนจะสยองยังไง แล้วไม่ใช่มีแค่หกชั้นนะ ห้างนี้มีสูงขึ้นไปถึง 16 ชั้นเลยทีเดียว ซึ่งที่ชั้น 16 เนี่ย ไม่รู้คนออกแบบซาดิสต์รึเปล่า เพราะบันไดที่ลงไปชั้น 15 เนี่ย อะแฮ่ม ราวเป็นกระจกครับพ้ม! มองลงไปก็แค่สิบกว่าชั้นเอ๊งงงง -*-
หลังจากเช็คจังหวะหัวใจ ที่สูบฉีดอย่างรุนแรงเพียงเพราะขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้ว ก็ได้เวลาลง... แน่นอนว่าขอเลือกลิฟต์ 5555
แล้วมันก็จริงๆด้วย!!! ตึกบ้าอะไรเนี่ย บันไดเลื่อนชูททีเดียว 6 ชั้น เกิดมาไม่เคยเกาะราวบันไดเลื่อนแน่นขนาดนี้มาก่อน (หึหึ)นี่ไม่อยากคิดว่าถ้ามีคนล้มแล้วกลิ้งลงไปเป็นโดมิโนจะสยองยังไง แล้วไม่ใช่มีแค่หกชั้นนะ ห้างนี้มีสูงขึ้นไปถึง 16 ชั้นเลยทีเดียว ซึ่งที่ชั้น 16 เนี่ย ไม่รู้คนออกแบบซาดิสต์รึเปล่า เพราะบันไดที่ลงไปชั้น 15 เนี่ย อะแฮ่ม ราวเป็นกระจกครับพ้ม! มองลงไปก็แค่สิบกว่าชั้นเอ๊งงงง -*-
หลังจากเช็คจังหวะหัวใจ ที่สูบฉีดอย่างรุนแรงเพียงเพราะขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้ว ก็ได้เวลาลง... แน่นอนว่าขอเลือกลิฟต์ 5555
---- 25 Lin Heung Tea House ----
เช้าวันรุ่งขึ้น เรามุึ่งหน้าไปย่าน Sheung Wan เหมือนเดิม คราวนี้เล็งไปกินติ่มซำที่แนะนำในหนังสือ Guidebook เจ้าเดิมอีกแล้ว ซึ่งโอมก็บอกว่าให้ลองไปกินดู เพราะตอนโอมไปมามันเป็นช่วงบ่ายซึ่งเขาไม่ขายติ่มซำกันแล้ว เอาก็เอาวะ เชื่อไกด์บุ๊คก็ได้
ร้านนี้ชื่อว่า Lin Heung Tea House ซึ่งเป็นร้านติ่มซำสำหรับคนท้องถิ่นจริงๆ เข้าไปนี่ก็ช็อคเล็กๆกับความวุ่นวายในร้าน (ซึ่งมีขนาดใหญ่พอควรเลยทีเดียว) ภายในร้านมีโต๊ะกลมมากมาย และมีพนักงานเข็นรถขายติ่มซำเต็มไปหมด
ร้านนี้ถ้าไปกันเยอะรับรองว่าลำบาก เพราะต้องดิ้นรนหาที่นั่งกันเอง! ความรู้สึกตอนเข้าไปในร้านอย่างกะต้องเล่นเก้าอี้ดนตรี 0__0 หลังจากวนไปวนมาสักพักก็เห็นคนลุกจนได้ แทบจะวิ่งเข้าไปเสียบที่นั่งแทน 55
ไม่นานนักพนักงานก็เอาชาม แล้วก็อาวุธมาให้ ซึ่งที่นี่เขาจะเอาชาล้างพวกช้อนกับตะเกียบเอา (อาศัยมองคนข้างๆในโต๊ะเค้า) ไอ้เราก็ล้างไม่ค่อยโปรหรอกแต่ก็หยวนๆน่ะ... ส่วนชาที่เอาไว้กินจริงๆมันจะเป็นชาก้อน ซึ่งก็ต้องมีวิธีการชงเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้แล้วว่าทำยังไง ถ้าใครไปก็อาศัยดูคนอื่นละกัน 55 อย่างไรก็ตามชาที่ขายในร้านนี้ก็เป็นชาธรรมดาไม่ใช่ของดีอะไร เพราะชาดีจริงๆของที่นี่ก็คงเหมือนไวน์ ยิ่งเก็บนาน (ราขึ้น!?) ยิ่งแพง บางก้อนนี่ขายกันเป็นแสนๆบาทเลยทีเดียว!
สำหรับการสั่งติ่มซำ ก็อาศัยดูจากรถเข็นที่จะมีคนทยอยเข็นมาตลอด เคล็ดลับก็คือว่า ไม่ต้องรีบสั่งเลยทีเดียว เพราะติ่มซำที่นี้มีร้อยแปดชนิด ให้เลือกเฉพาะที่อยากจะกินเท่านั้นจริงๆ อันไหนยังดูไม่น่าเวิร์คก็ไม่ต้องเอา ไว้รอคันต่อไปได้
ถามว่าติ่มซำรสชาติเป็นยังไง ก็ขอบอกว่า เป็นติ่มซำสไตล์ชาวบ้านจริงๆ วัตถุดิบก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนา ขนมจีบก็ไม่ใช่ขนมจีบกุ้งแบบไฮโซ ก็จะเป็นกุ้งผสมหมู แต่ถามว่าอร่อยไหม ก็อร่อยตามสภาพวัตถุดิบเช่นนั้นน่ะ เช่น ก๋วยเตี๋ยวหลอด ซึ่งเครื่องงั้นๆ แต่รสชาติ และความนุ่มเหนียวของแป้งนั้นใช้ได้เลยทีเดียว แต่ที่ไม่ไหวก็คือซาลาเปา ที่ลูกนี่ขนาดใหญ่โคตรๆ ฐานนี่ขนาดใหญ่กว่าแผ่น DVD ซะอีกมั้ง
ตอนจะออกจากร้านแอบฮาส่งท้าย แคชเชียร์ก็พยายามคุยกับเรา แล้วก็ถามว่า 'อร่อยมั้ย?' เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ไอ้เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง เลย ส่ายหน้า เข้าให้ เท่านั้นแหละ คุณแคชเชียร์แกหน้าเหวอไปทันตา เราเลยรีบขอโทดขอโพยแก้ตัว โอ๊ะ ไม่ใช่ อร่อยมากกกกกก ๆๆๆ -_- (แต่จริงๆแล้ว มันก็งั้นๆแหละ ชิ)
เช้าวันรุ่งขึ้น เรามุึ่งหน้าไปย่าน Sheung Wan เหมือนเดิม คราวนี้เล็งไปกินติ่มซำที่แนะนำในหนังสือ Guidebook เจ้าเดิมอีกแล้ว ซึ่งโอมก็บอกว่าให้ลองไปกินดู เพราะตอนโอมไปมามันเป็นช่วงบ่ายซึ่งเขาไม่ขายติ่มซำกันแล้ว เอาก็เอาวะ เชื่อไกด์บุ๊คก็ได้
ร้านนี้ชื่อว่า Lin Heung Tea House ซึ่งเป็นร้านติ่มซำสำหรับคนท้องถิ่นจริงๆ เข้าไปนี่ก็ช็อคเล็กๆกับความวุ่นวายในร้าน (ซึ่งมีขนาดใหญ่พอควรเลยทีเดียว) ภายในร้านมีโต๊ะกลมมากมาย และมีพนักงานเข็นรถขายติ่มซำเต็มไปหมด
ร้านนี้ถ้าไปกันเยอะรับรองว่าลำบาก เพราะต้องดิ้นรนหาที่นั่งกันเอง! ความรู้สึกตอนเข้าไปในร้านอย่างกะต้องเล่นเก้าอี้ดนตรี 0__0 หลังจากวนไปวนมาสักพักก็เห็นคนลุกจนได้ แทบจะวิ่งเข้าไปเสียบที่นั่งแทน 55
ไม่นานนักพนักงานก็เอาชาม แล้วก็อาวุธมาให้ ซึ่งที่นี่เขาจะเอาชาล้างพวกช้อนกับตะเกียบเอา (อาศัยมองคนข้างๆในโต๊ะเค้า) ไอ้เราก็ล้างไม่ค่อยโปรหรอกแต่ก็หยวนๆน่ะ... ส่วนชาที่เอาไว้กินจริงๆมันจะเป็นชาก้อน ซึ่งก็ต้องมีวิธีการชงเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้แล้วว่าทำยังไง ถ้าใครไปก็อาศัยดูคนอื่นละกัน 55 อย่างไรก็ตามชาที่ขายในร้านนี้ก็เป็นชาธรรมดาไม่ใช่ของดีอะไร เพราะชาดีจริงๆของที่นี่ก็คงเหมือนไวน์ ยิ่งเก็บนาน (ราขึ้น!?) ยิ่งแพง บางก้อนนี่ขายกันเป็นแสนๆบาทเลยทีเดียว!
สำหรับการสั่งติ่มซำ ก็อาศัยดูจากรถเข็นที่จะมีคนทยอยเข็นมาตลอด เคล็ดลับก็คือว่า ไม่ต้องรีบสั่งเลยทีเดียว เพราะติ่มซำที่นี้มีร้อยแปดชนิด ให้เลือกเฉพาะที่อยากจะกินเท่านั้นจริงๆ อันไหนยังดูไม่น่าเวิร์คก็ไม่ต้องเอา ไว้รอคันต่อไปได้
ถามว่าติ่มซำรสชาติเป็นยังไง ก็ขอบอกว่า เป็นติ่มซำสไตล์ชาวบ้านจริงๆ วัตถุดิบก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนา ขนมจีบก็ไม่ใช่ขนมจีบกุ้งแบบไฮโซ ก็จะเป็นกุ้งผสมหมู แต่ถามว่าอร่อยไหม ก็อร่อยตามสภาพวัตถุดิบเช่นนั้นน่ะ เช่น ก๋วยเตี๋ยวหลอด ซึ่งเครื่องงั้นๆ แต่รสชาติ และความนุ่มเหนียวของแป้งนั้นใช้ได้เลยทีเดียว แต่ที่ไม่ไหวก็คือซาลาเปา ที่ลูกนี่ขนาดใหญ่โคตรๆ ฐานนี่ขนาดใหญ่กว่าแผ่น DVD ซะอีกมั้ง
ตอนจะออกจากร้านแอบฮาส่งท้าย แคชเชียร์ก็พยายามคุยกับเรา แล้วก็ถามว่า 'อร่อยมั้ย?' เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ไอ้เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง เลย ส่ายหน้า เข้าให้ เท่านั้นแหละ คุณแคชเชียร์แกหน้าเหวอไปทันตา เราเลยรีบขอโทดขอโพยแก้ตัว โอ๊ะ ไม่ใช่ อร่อยมากกกกกก ๆๆๆ -_- (แต่จริงๆแล้ว มันก็งั้นๆแหละ ชิ)
---- 26 Fruit Stall & Egg Tart ----
หลังจากเอาตัวรอดจากเกือกของเจ๊แคชเชียร์แล้ว (พูดเล่น) เราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ร้านทาร์ตไข่ Tai Cheong Bakery ที่เห็นโปรโหมตนักหนาว่าอร่อยทีสุดในฮ่องกง ปรากฏว่าระหว่างทางที่เราเดินไป ผ่านถนน Graham และ Gage St. นั้น ก็เป็นตลาดขายผักและผลไม้ ซึ่งตรงหัวมุมที่ถนน Gage St ตัดกับ Lyndhurst Terrace นั้น มีร้านผลไม้เจ้าหนึ่ง ขายบลูเบอรี่เป็นกล่องๆราคาไม่แพงเลย (ถูกกว่าร้านที่ขายตรงข้ามโรงแรม L'Hotel อยู่พอควร) เลยซื้อมาลองชิมสักกล่องสองกล่อง นอกจากนั้นยังเหลือบไปเห็นสตรอเบอรี่เกรดไฮโซที่น่ากินสุดๆ ลูกฉ่ำๆ แดงๆ เป้งๆ ใหญ่เกือบเท่าบัตรเครดิต! แต่ที่ดูประหลาดที่สุึดก็คือ Kiwi Berry ซึ่งเป็นกีวีขนาดเท่าเม็ดองุ่น!?
(Image from Nancyland's Blog)
ของแปลกอย่างนี้ต้องลอง แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆด้วย รสก็เหมือนกีวี (ซึ่งหวานซะด้วย) แต่ว่าเป็นเม็ดเล็กๆ ไม่ต้องปอก หยิบเข้าปากได้ทันที ซึ่งในวันต่อมา (วันกลับ) เราก็กลับมาแวะ่ร้านนี้อีกแล้วกวาด Blueberry, Strawberry, Kiwi Berry กลับเมืองไทยเอาไปแจกเป็นพันๆ
ส่วน Egg Tart ชิมแล้ว ... ไม่เห็นจะอร่อยที่สุึดเล้ย อาจจะเป็นเพราะตัวแป้งเป็นแป้งทาร์ต ไม่ใช่แป้งพาย สรุปว่าตามความเห็นส่วนตัว ทาร์ตที่มาเก๊า (และที่ร้าน Macau Restaurant อร่อยกว่านะ)
(Image from Nancyland's Blog)
ของแปลกอย่างนี้ต้องลอง แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆด้วย รสก็เหมือนกีวี (ซึ่งหวานซะด้วย) แต่ว่าเป็นเม็ดเล็กๆ ไม่ต้องปอก หยิบเข้าปากได้ทันที ซึ่งในวันต่อมา (วันกลับ) เราก็กลับมาแวะ่ร้านนี้อีกแล้วกวาด Blueberry, Strawberry, Kiwi Berry กลับเมืองไทยเอาไปแจกเป็นพันๆ
ส่วน Egg Tart ชิมแล้ว ... ไม่เห็นจะอร่อยที่สุึดเล้ย อาจจะเป็นเพราะตัวแป้งเป็นแป้งทาร์ต ไม่ใช่แป้งพาย สรุปว่าตามความเห็นส่วนตัว ทาร์ตที่มาเก๊า (และที่ร้าน Macau Restaurant อร่อยกว่านะ)
---------------
คราวหน้าจะมาต่อ Repulse Bay และืมื้อกลางวันสุดอร่อยติดดาว ล้างแค้นร้าน Lin Heung ที่ติ่มซำยังไม่อร่อยสะใจโจ๋สักเท่าไหร่
View Larger Map
View Larger Map
มาลุยต่อซีรียส์นี้ดีกว่า
---- 17 โจ๊ก Sang Kee ----
เช้าวันแรกที่ ฮ่องกง เรายัีงไม่เข็ดกับหนังสือ Guidebook ของกิน! เลยออกไปร้านโจ๊ก Sang Kee ที่ถนน Hiller St. สถานี Sheung Wan กัน ก่อนจะออกเดินทางไปเที่ยววัดโป้หลิน
ร้านนี้ก็เป็นสไตล์ร้านชาวบ้านเหมือนเดิม ป้ายร้านเป็นภาษาจีน คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเมนูภาษาอังกฤษให้พอเอาตัวรอดได้
โจ๊กร้านนี้ก็ยังเนียนนวลได้มาตรฐานละแวกนี้เช่นเคย แต่กินแล้วก็เฉยๆ เพราะชามใหญ่เหลือเกิน เครื่องก็ใส่ให้มากมาย ส่วนปาท่องโก๋ก็ไม่ค่อยร้อน ชารสชาติแปลกๆ สรุปว่าก็ไม่ได้ประทับใจอะไร
ร้านนี้ก็เป็นสไตล์ร้านชาวบ้านเหมือนเดิม ป้ายร้านเป็นภาษาจีน คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเมนูภาษาอังกฤษให้พอเอาตัวรอดได้
โจ๊กร้านนี้ก็ยังเนียนนวลได้มาตรฐานละแวกนี้เช่นเคย แต่กินแล้วก็เฉยๆ เพราะชามใหญ่เหลือเกิน เครื่องก็ใส่ให้มากมาย ส่วนปาท่องโก๋ก็ไม่ค่อยร้อน ชารสชาติแปลกๆ สรุปว่าก็ไม่ได้ประทับใจอะไร
ตอนแรกว่าจะเดินไปที่ถนน Lyndhurst Terrace ไปซื้อทาร์ตไข่ที่เค้าว่าอร่อยนักอร่อยหนามากิน ซึ่งต้องขึ้น Mid Level Escalator เป็นทางเดินบันไดเลื่อนขึ้นไป (เพราะถนนช่วงนั้นจะขึ้นเขา) แต่ปรากฏว่าตอนเราไปถึงบันไดเลื่อนยังเดินเป็นทิศลงเขาอยู่ เห็นแล้วก็เลยช่างมัน ไปวัดโป้หลินเลยดีกว่า
---- 18 Ngong Ping Skyrail & Po Lin Temple ----
โชคดีที่จากถนน Queen Rd. Central ไปจนถึง ifc Mall มีทางเดินข้ามถนนเชื่อมระหว่างตึก เลยทำให้เราเดินสบายๆ ไม่ต้องข้ามสี่แยกให้ลำบาก พอถึง ifc Mall ก็ลงสถานี Hong Kong นั่ง MTR สายสีส้มยาวไปลงสุดสายที่ Tung Chung โผล่มาก็เห็น CityGate Outlet อยู่ข้างหน้าสถานีเลย ไม่เป็นไร อดใจเอาไว้ 55 แล้วเดินไป Ngong Ping 360 สถานีรถกระเช้าที่จะพาเราไปวัดโป้หลิน
กระเช้านี้เพิ่งเปิดได้สักปีเองมั้ง ตอนไปนั้นยังเช้าอยู่จึงไม่ค่อยมีคน ก็เลยเหมากระเช้าไปคันนึงได้ชิลๆ ขอบอกว่ากระเช้าพาไปไกลมากๆๆๆๆ ใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีได้ ข้ามเขาไปสองสามลูก สูงโคตรๆ
กระเช้านี้เพิ่งเปิดได้สักปีเองมั้ง ตอนไปนั้นยังเช้าอยู่จึงไม่ค่อยมีคน ก็เลยเหมากระเช้าไปคันนึงได้ชิลๆ ขอบอกว่ากระเช้าพาไปไกลมากๆๆๆๆ ใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีได้ ข้ามเขาไปสองสามลูก สูงโคตรๆ
ที่สถานีปลายทาง ก็มีหมู่บ้านร้านค้าสไตล์คล้ายๆสวนสนุก มีร้านนึงขายหินสักอย่าง สวยดี คนขายเป็นคนไทยด้วย อัธยาศรัยดีมาก ขากลับได้คุยกันตั้งนานก่อนจะซื้อของติดไม้ติดมือกลับมา ^^
แล้วเราก็ได้ไปไหว้พระใหญ่ ที่ต้องเดินขึ้นบันไดไปอารมณ์คล้ายๆที่เชียงใหม่ แต่อันนี้อากาศไม่ร้อนเลยชิลๆ เนื่องจากมีเวลาไม่มากเลยไม่ได้แวะไปที่ตัววัด (แต่ก็ยังมีเวลาไปช้อปหิน 55)
ขากลับพอลงมาเราก็ไปกินข้าวเที่ยงกันที่ Citygate Outlet ซึ่ง Food Court ที่นี่ไม่เลวเลย อารมณ์คล้ายๆ Food Loft มีอาหารนานาชาิติขายอยู่ ซึ่งต่างกับร้านค้าในนี้ซึ่งตอนที่ไปก็ไม่เห็นจะถูกสักเท่าไหร่เลย สรุปว่าถ้าใครคิดจะช้อป ก็ขอให้เอาเวลาไปชอปที่ Mong Kok, TST, Causeway Bay จะดีกว่า
สรุปว่า วัดนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ขอ Note ไว้ว่าวัดนี้ปิด 16.30 น. เพราะฉะนั้นเผื่อเวลาไปเที่ยวให้ดีๆ (ไปถึงอย่างช้่าตอนบ่ายสามครึ่ง)
ขากลับพอลงมาเราก็ไปกินข้าวเที่ยงกันที่ Citygate Outlet ซึ่ง Food Court ที่นี่ไม่เลวเลย อารมณ์คล้ายๆ Food Loft มีอาหารนานาชาิติขายอยู่ ซึ่งต่างกับร้านค้าในนี้ซึ่งตอนที่ไปก็ไม่เห็นจะถูกสักเท่าไหร่เลย สรุปว่าถ้าใครคิดจะช้อป ก็ขอให้เอาเวลาไปชอปที่ Mong Kok, TST, Causeway Bay จะดีกว่า
----19 Wong Tai Sin Temple ----
หลังจากออกมาจาก CityGate ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเพราะเสียเวลาไปเดินห้างตั้งนาน ก็ขึ้น MTR เปลี่ยนสายไปมาไปลงที่สถานี Wong Tai Sin เพื่อไปวัดหวังต้า่เซียน วัดนี้ก็เป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง คนเยอะมาก ควันเยอะสุดๆ ใครอยากทราบประวัติอะไรก็ลองหาเอาเองละกัน 55
---- 20 Chilin Nunnery ----
จากวัดหวังต้าเซียน เราก็นั่ง MTR ไปอีกสถานี (Diamond Hill) เพื่อไปวัดนางชีหรือ Chilin Nunnery ไปถึงแล้วก็ต้องตะลึงกับความสวยงามอลังการสุดๆ มองเผินๆดูเหมือนวัดนี้จะเป็นวัดญี่ปุ่น แต่เท่าที่ทราบเป็นวัดจีน ตกแต่งสไตล์ราชวงศ์ถัง เป็นวัดที่สร้างใหม่เมื่อราวๆปี 96 นี่เอง ซึ่งวัดนี้นอกจากจะมีสถาปัตยกรรมที่สวยสุดๆ เต็มไปด้วยรายละเอียด และเสาไม้ต้นใหญ่ๆที่ว่ากันว่าใช้วิธีการประกอบแบบเอาไม้่มาขัดกันโดยไม่ใช้ตะปู บรรยากาศของวัดยังสงบ ไม่วุ่นวาย มีเสียงเพลงสวดมนต์คลอตลอด ซึ่งต่างกับวัดหวังต้าเซียนโดยสิ้นเชิง
สรุปว่า วัดนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ขอ Note ไว้ว่าวัดนี้ปิด 16.30 น. เพราะฉะนั้นเผื่อเวลาไปเที่ยวให้ดีๆ (ไปถึงอย่างช้่าตอนบ่ายสามครึ่ง)
---- 21 Nathan Rd. ----
เราลากสังขารที่ยังพอเหลืออยู่ไปลงที่สถานีื Jordan แล้วเดินลงตามถนน Nathan ซึ่งก็ไปเจอร้านดีลเลอร์ Apple ที่ Park Lane Shopper Boulevard ซึ่งก็ได้ซื้อ Adapter VGA - DVI ฝาก Cubic Creative เรียบร้อย แต่ปรากฏว่า Adapter Macbook ทีี่่เล็งไว้ของเราเองกลับหมดซะงั้น งานนี้ถึงกับเครียดเพราะไม่รุ้จะไปหาร้านแมคอีกที่ไหนดี -_-" (ราคาสินค้าแอปเปิ้ลที่ฮ่องกงนั้นถูกมากๆๆๆๆ ถูกกว่าเมืองไทยเป็นพันๆเลย อย่าง MacbookPro ตัวล่าสุดที่พี่ไทยขายสัก 67000 ที่ฮ่องกงขาย 60000 เท่านั้น เช่นเดียวกับ Adapter ที่จะไปซื้อ พี่ไทยแกขาย 3900 ที่ HK ขาย 2500 เท่านั้น โว้วว)
ตรงข้าม Apple Store ก็เป็น Miramar Shopping Center ซึ่งมี UNIQLO และ MUJI อยู่ ซึ่งรายหลังถึงจะมีชอปที่เมืองไทยแต่ก็แพงชิบ แถมไม่มีขนมขายซะด้วย! ขอบอกว่าขนม MUJI อร่อยมากๆ ไม่ควรพลาดข้าวพองเคลือบชอกโกแลต และมาร์ชเมลโล่ไส้เลม่อนเด็ดขาด อร่อยสุดๆ :P
ตรงข้าม Apple Store ก็เป็น Miramar Shopping Center ซึ่งมี UNIQLO และ MUJI อยู่ ซึ่งรายหลังถึงจะมีชอปที่เมืองไทยแต่ก็แพงชิบ แถมไม่มีขนมขายซะด้วย! ขอบอกว่าขนม MUJI อร่อยมากๆ ไม่ควรพลาดข้าวพองเคลือบชอกโกแลต และมาร์ชเมลโล่ไส้เลม่อนเด็ดขาด อร่อยสุดๆ :P
----
ขอจบ Ep 6 ไว้แค่นี้ก่อน คราวหน้า... มาต่อกับ Symphony of Light, Repulse Bay และติ่มซำ!
อืมม... เรื่องการบอกทางนักท่องเที่ยวนี่พอออกจะมีนโยบายที่ aggressive พอควรทีเดียว... นัยว่าด้วยความ egocentric แล้วคิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่ช่วยเค้าได้ดีที่สุดในประเทศ~
ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะรู้จักที่ไหน ๆ ในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ~
เคยดู spirited away
pricess mononoke และก็สุสานหิ่งห้อยอะครับ
ชอบมากๆ เลย
เดี๋ยวต้องไปหา Howl's Moving Castle มาดูบ้างแฮะ
แต่แนะนำ paprika มากครับ
ของ satochi kon เจ๋งดีนะครับ
ไปเจอเว็บ blog เกาหลีล้วนๆเลย http://blog.bluegy.com/
น่าสนใจดี