โผล่มาปัดหยากไย่ในบล็อกหน่อย... ยินดีกับบัณฑิตใหม่ทุกคนด้วยนะคร้าบ
ปล. ตอนนี้มีเรื่องปวดหัวมากมาย ทั้งเรื่องนั่ง claim tax, TOEFL, GRE (เรียนไปทั้งๆที่ยังรู้สึกงงๆว่ากูจะเรียนต่อจริงเหรอวะ), Projects ดีนะที่มิดเทอมสอบแค่ Gen Ed สองตัว ไม่งั้นคงตายกันพอดี
ปปล. หนัง Harry ภาคนี้หนุกดีว่ะ หนังสือก็จะออกแล้ว สงสัยมิดเทอมคงนั่งอ่านแต่แฮร์รี่แล้วล่ะมั้งกู
เขียนแค่นี้แหละ คงเป็นบล็อกที่สั้นที่สุดที่เขียนแล้วมั้ง 55
ปล. ตอนนี้มีเรื่องปวดหัวมากมาย ทั้งเรื่องนั่ง claim tax, TOEFL, GRE (เรียนไปทั้งๆที่ยังรู้สึกงงๆว่ากูจะเรียนต่อจริงเหรอวะ), Projects ดีนะที่มิดเทอมสอบแค่ Gen Ed สองตัว ไม่งั้นคงตายกันพอดี
ปปล. หนัง Harry ภาคนี้หนุกดีว่ะ หนังสือก็จะออกแล้ว สงสัยมิดเทอมคงนั่งอ่านแต่แฮร์รี่แล้วล่ะมั้งกู
เขียนแค่นี้แหละ คงเป็นบล็อกที่สั้นที่สุดที่เขียนแล้วมั้ง 55
ร้างราจากการอัพบล็อกมานาน
เผลอแป๊บเดียวอยู่ปีสี่มาเกือบเดือนและ แน่นอนว่าฟีลมันเปลี่ยนไป กับการเรียนแต่วิชา Gen Ed กับ Approve ซึ่งก็เหมือนไม่ค่อยได้เรียน แต่ทุกอย่างกลายเป็นงานแทน
ตอนลงทะเบียนก็อุตส่าห์กลัวจะว่าง ลงไปตั้ง 7 ตัว ไปๆมาๆลดเหลือ 5 แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชีวิตรอดได้รึเปล่า เพราะงานเยอะแยะเหลือเกิน
เรื่องงานไว้พูดทีหลังละกัน แต่วันนี้ที่มาอัพเพราะอยากจะพูดถึงเรื่องนึง....
ก่อนอื่นขอออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น
ก็คือเรื่องการปิดห้องเชียร์เมื่อวันศุกร์
พอเวลามันเปลี่ยนไป ความคิดก็เปลี่ยนไปจริงๆด้วย จากฟีลเมื่อสองปีที่แล้ว
http://jaroz.blogspot.com/2005/06/blog-post.html
http://jaroz.blogspot.com/2005/07/blog-post.html
มาถึงฟีลเมื่อวันก่อน... ทำไมมันต่างกันอย่างงี้หว่า
คืออาจจะเป็นเพราะมันคนละหน้าที่ด้วยแหละ
ตอนปีสอง แน่นอนว่าใกล้ิชิดกับน้องปีหนึ่งที่สุด แล้วก็ต้องลงมือริดใบจามกัน
แต่ปีนี้ ปีสี่ หน้าที่หลักๆก็แค่ 'ว้ากสนาม'
สำหรับคนนอกคณะที่มาอ่าน ว้ากสนามก็อารมณ์เหมือนๆจ่านรกของรด คือสั่งน้อง วิ่งไปวิ่งมา หมอบๆ กลิ้งๆ ร้องเพลงเชียร์
เหตุผลที่ได้รับการบอกกล่าวสำหรับการว้าำกสนามก็คือ จะได้ให้น้องๆสิ้นฤทธิ์ ไม่ขัดขืนซะตอนอัดบันได (ขนาดหมดฤทธิ์แล้วก็ยังเอาเรื่องจนคุมลำบากเหมือนกัน)
...อืม ฟังดูก็เหมือนมีเหตุผลดี(เหรอ) ก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า มันมีวิธีอื่นจะกำราบน้องจำนวนมากขนาดนั้นอีกป่าววะ คิดก็...ยังคิดไม่ออกอยู่ดี (ฮ่าๆ) ไม่งั้นฟีลมันไม่ต่อ กิจกรรมอื่นๆมันออกแบบมาให้สอดคล้องอยู่แล้ว
คือมันเห็นอยู่จะๆกับตา จากตอนปีสอง ซึ่งมีปัญหาเรื่องรัีบน้อง ทำให้กิจกรรมปาใบจามมันมาโดดๆ โดยไม่มีักิจกรรมอื่นๆก่อนหน้า สรุปว่า น้องที่เข้าไปที่ห้องประชุัมมันก็คุยคิกคักกันเสียงดัง (ก็แหงอยู่แล้ว) ฟีลที่มันไม่ได้ติดลบ หรือหัวที่มันไม่ได้โล่ง เหมือนกับการรับน้องแบบฟูลเวอร์ชั่น พอปาใบจาม ฟีลมันก็เลยไม่กระโดดเท่า...
17.00 ก็ตั้งแถวไปเตรียมว้ากสนาม
ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนเป็นไอ้งั่งยืนเป็นหัวตอเด่อยู่ตรงนั้นอะ ด้วยความที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับกิจกรรมนี้อยู่และ ไอ้ตอนที่คนอื่นตะโกนสั่งน้อง ให้วิ่ง ให้หยุด เราก็ ... นิ่งๆ ขำๆด้วยซ้ำ เพราะน้องมันก็วิ่งไม่ได้อยู่แล้ว (เพราะที่แคบ) ก็ยังสั่งให้มันวิ่งอยู่ น้องมันก็งง กูก็ ขำๆหึๆไป จำได้ว่าไอ้ตอนปีหนึ่งก็รู้อยู่ว่า ไอ้พี่ที่อยู่ข้างหน้าเราส่วนมากแม่งก็ไม่ได้โหดไรหรอก มายืนเด่ๆงั้นแหละ ไอ้พวกด่ามันก็ทำไรเราไม่ได้อยู่และ
สรุปแล้ว รู้สึก Idiot อย่างแรงที่ต้องมาทำไรอย่างงี้ พอได้จังหวะที่เค้าสั่งน้องหมอบ ก็เลยชิ่งออกมาไปแดกข้าวกับแก๊งคเวิรค์นิติกัน (นัดไว้ก่อนแล้ว ตอนแรกจะไม่มาว้ากด้วยซ้ำ)
กินข้าวอยู่ก็เห็นฝนตก ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะเกิดไรขึ้น ปรากฏว่ากลับไปตอนทุ่มกว่าๆ เพิ่งจะเลิกครับ สรุปว่าปีนี้โหดโคตร ฝนตกก็ว้ากกันเหมือนเดิม หมอบแฉะๆอย่างงั้นแหละ
มันจำเป็นต้องโหดขนาดนั้นเลยเหรอวะ -*-
อีักอย่างที่รู้สึกแย่ๆ คือเห็นบางคนบอกว่า สะใจ มันส์ ไรเงี้ยะ ฟังแล้วรู้สึกเศร้าๆ ว่าทำเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกดีกันได้ไงวะ ออกจะเสียสุขภาพจิตทั้งพี่ทั้งน้อง หรือว่าเก็บกดไม่เคยได้สั่งหรือควบคุมใครได้มาก่อนในชีวิต
อยากรู้เหมือนกันว่ามีสักกี่คนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็ทำไปเพราะก็...ช่วยเพื่อน ไม่รู้นะ คือรู้สึกว่างานบางอย่างถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นต้องไปทำมัน แต่พอไม่ไปช่วย ก็จะถูกมองว่า อะไรวะ แค่นี้ก็ไม่ไปช่วยเพื่อน แม่งไม่มีใจเลย (อันนี้พูดรวมๆนะ ไม่ได้ว่าอะไรใคร เด๋วจะเข้าใจผิด)
คือไอ้ความคิดแบบนี้แหละ เป็นความคิดของสังคมไทย เราถูกสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน ช่วยไว้ก่อน ความคิดของตัวเองมาทีหลัง เราถูกสอนมาว่าถ้าเราไม่ช่วยคนอื่นก็เหมือนเราเป็นคนเห็นแก่ตัว อันนี้ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิดนะ เพียงแต่ว่า มันเป็นลักษณะของสังคม...เท่านั้นเอง จริงๆแล้วก็คิดอยู่เหมือนกันว่าไม่มาช่วยงานที่เหมือนเป็น 'หน้าที่' ของพี่ปีสี่เนี่ย ถือว่ากูเห็นแก่ตัวรึเปล่า แต่คิดแล้วก็สรุปว่า.. สำหรับเรื่องนี้ ไม่ใช่แน่ๆ
ไม่มีใครเถียงว่าการที่ถูกสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกัน เป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่า การยึดถือว่าให้ช่วยเหลือกันเป็น priority แรก บางครั้งก็มาบดบังความคิด ความกล้าเป็นตัวของตัวเองในบางครั้งเหมือนกัน!?
สรุปว่า...กูจะรักสันติภาพมากเกินไปป่าววะ
เผลอแป๊บเดียวอยู่ปีสี่มาเกือบเดือนและ แน่นอนว่าฟีลมันเปลี่ยนไป กับการเรียนแต่วิชา Gen Ed กับ Approve ซึ่งก็เหมือนไม่ค่อยได้เรียน แต่ทุกอย่างกลายเป็นงานแทน
ตอนลงทะเบียนก็อุตส่าห์กลัวจะว่าง ลงไปตั้ง 7 ตัว ไปๆมาๆลดเหลือ 5 แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชีวิตรอดได้รึเปล่า เพราะงานเยอะแยะเหลือเกิน
เรื่องงานไว้พูดทีหลังละกัน แต่วันนี้ที่มาอัพเพราะอยากจะพูดถึงเรื่องนึง....
ก่อนอื่นขอออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น
ก็คือเรื่องการปิดห้องเชียร์เมื่อวันศุกร์
พอเวลามันเปลี่ยนไป ความคิดก็เปลี่ยนไปจริงๆด้วย จากฟีลเมื่อสองปีที่แล้ว
http://jaroz.blogspot.com/2005/06/blog-post.html
http://jaroz.blogspot.com/2005/07/blog-post.html
มาถึงฟีลเมื่อวันก่อน... ทำไมมันต่างกันอย่างงี้หว่า
คืออาจจะเป็นเพราะมันคนละหน้าที่ด้วยแหละ
ตอนปีสอง แน่นอนว่าใกล้ิชิดกับน้องปีหนึ่งที่สุด แล้วก็ต้องลงมือริดใบจามกัน
แต่ปีนี้ ปีสี่ หน้าที่หลักๆก็แค่ 'ว้ากสนาม'
สำหรับคนนอกคณะที่มาอ่าน ว้ากสนามก็อารมณ์เหมือนๆจ่านรกของรด คือสั่งน้อง วิ่งไปวิ่งมา หมอบๆ กลิ้งๆ ร้องเพลงเชียร์
เหตุผลที่ได้รับการบอกกล่าวสำหรับการว้าำกสนามก็คือ จะได้ให้น้องๆสิ้นฤทธิ์ ไม่ขัดขืนซะตอนอัดบันได (ขนาดหมดฤทธิ์แล้วก็ยังเอาเรื่องจนคุมลำบากเหมือนกัน)
...อืม ฟังดูก็เหมือนมีเหตุผลดี(เหรอ) ก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า มันมีวิธีอื่นจะกำราบน้องจำนวนมากขนาดนั้นอีกป่าววะ คิดก็...ยังคิดไม่ออกอยู่ดี (ฮ่าๆ) ไม่งั้นฟีลมันไม่ต่อ กิจกรรมอื่นๆมันออกแบบมาให้สอดคล้องอยู่แล้ว
คือมันเห็นอยู่จะๆกับตา จากตอนปีสอง ซึ่งมีปัญหาเรื่องรัีบน้อง ทำให้กิจกรรมปาใบจามมันมาโดดๆ โดยไม่มีักิจกรรมอื่นๆก่อนหน้า สรุปว่า น้องที่เข้าไปที่ห้องประชุัมมันก็คุยคิกคักกันเสียงดัง (ก็แหงอยู่แล้ว) ฟีลที่มันไม่ได้ติดลบ หรือหัวที่มันไม่ได้โล่ง เหมือนกับการรับน้องแบบฟูลเวอร์ชั่น พอปาใบจาม ฟีลมันก็เลยไม่กระโดดเท่า...
17.00 ก็ตั้งแถวไปเตรียมว้ากสนาม
ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนเป็นไอ้งั่งยืนเป็นหัวตอเด่อยู่ตรงนั้นอะ ด้วยความที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับกิจกรรมนี้อยู่และ ไอ้ตอนที่คนอื่นตะโกนสั่งน้อง ให้วิ่ง ให้หยุด เราก็ ... นิ่งๆ ขำๆด้วยซ้ำ เพราะน้องมันก็วิ่งไม่ได้อยู่แล้ว (เพราะที่แคบ) ก็ยังสั่งให้มันวิ่งอยู่ น้องมันก็งง กูก็ ขำๆหึๆไป จำได้ว่าไอ้ตอนปีหนึ่งก็รู้อยู่ว่า ไอ้พี่ที่อยู่ข้างหน้าเราส่วนมากแม่งก็ไม่ได้โหดไรหรอก มายืนเด่ๆงั้นแหละ ไอ้พวกด่ามันก็ทำไรเราไม่ได้อยู่และ
สรุปแล้ว รู้สึก Idiot อย่างแรงที่ต้องมาทำไรอย่างงี้ พอได้จังหวะที่เค้าสั่งน้องหมอบ ก็เลยชิ่งออกมาไปแดกข้าวกับแก๊งคเวิรค์นิติกัน (นัดไว้ก่อนแล้ว ตอนแรกจะไม่มาว้ากด้วยซ้ำ)
กินข้าวอยู่ก็เห็นฝนตก ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะเกิดไรขึ้น ปรากฏว่ากลับไปตอนทุ่มกว่าๆ เพิ่งจะเลิกครับ สรุปว่าปีนี้โหดโคตร ฝนตกก็ว้ากกันเหมือนเดิม หมอบแฉะๆอย่างงั้นแหละ
มันจำเป็นต้องโหดขนาดนั้นเลยเหรอวะ -*-
อีักอย่างที่รู้สึกแย่ๆ คือเห็นบางคนบอกว่า สะใจ มันส์ ไรเงี้ยะ ฟังแล้วรู้สึกเศร้าๆ ว่าทำเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกดีกันได้ไงวะ ออกจะเสียสุขภาพจิตทั้งพี่ทั้งน้อง หรือว่าเก็บกดไม่เคยได้สั่งหรือควบคุมใครได้มาก่อนในชีวิต
อยากรู้เหมือนกันว่ามีสักกี่คนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็ทำไปเพราะก็...ช่วยเพื่อน ไม่รู้นะ คือรู้สึกว่างานบางอย่างถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นต้องไปทำมัน แต่พอไม่ไปช่วย ก็จะถูกมองว่า อะไรวะ แค่นี้ก็ไม่ไปช่วยเพื่อน แม่งไม่มีใจเลย (อันนี้พูดรวมๆนะ ไม่ได้ว่าอะไรใคร เด๋วจะเข้าใจผิด)
คือไอ้ความคิดแบบนี้แหละ เป็นความคิดของสังคมไทย เราถูกสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน ช่วยไว้ก่อน ความคิดของตัวเองมาทีหลัง เราถูกสอนมาว่าถ้าเราไม่ช่วยคนอื่นก็เหมือนเราเป็นคนเห็นแก่ตัว อันนี้ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิดนะ เพียงแต่ว่า มันเป็นลักษณะของสังคม...เท่านั้นเอง จริงๆแล้วก็คิดอยู่เหมือนกันว่าไม่มาช่วยงานที่เหมือนเป็น 'หน้าที่' ของพี่ปีสี่เนี่ย ถือว่ากูเห็นแก่ตัวรึเปล่า แต่คิดแล้วก็สรุปว่า.. สำหรับเรื่องนี้ ไม่ใช่แน่ๆ
ไม่มีใครเถียงว่าการที่ถูกสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกัน เป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่า การยึดถือว่าให้ช่วยเหลือกันเป็น priority แรก บางครั้งก็มาบดบังความคิด ความกล้าเป็นตัวของตัวเองในบางครั้งเหมือนกัน!?
สรุปว่า...กูจะรักสันติภาพมากเกินไปป่าววะ
Post a Comment