ภูกระดึง Part 3 : life is walking ! -- the journey to lom sak cliff
3 Comments Published on 27.2.07 at 22:06.
ก่อนจะอัพบล็อกนี้ก็นั่งชั่วใจอยู่ ว่าจะอัพเรื่องภูกระดึงต่อ หรือจะอัพบล็อก Truelife Jam Session เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กับโชว์ดีๆจาก etc. ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
แต่คิดอีกที วีดีโอก็ยังไม่ได้เอามาดู แถมวีคเอนด์นี้ก็มีโปรแกรมไปอัมพวา(รอบที่สาม)จ่ออีก ก็ขอมาอัพภูกระดึงก่้อนละกัน
ปาดเหงื่อแล้วลุยล่ะนะ!!
หลังจากสโลสเลไปนอนต่อ หลังกลับจากผานกแอ่น ก็ได้เวลากินข้าวเที่ยง แล้วออกเดินทาง กับระยะทางที่แสนจะยาววววววววสุดๆ กับจุดหมายปลายทางที่จะไปผาหล่มสัก ซึ่งไกลแค่ 10 กิโลจากที่พักเอ๊ง -_-
เราเลือกเส้นทางเดินด้านบนผ่านสระอโนดาต ก่อนจะเดินลงมาที่ผาแดง แล้วไปที่ผาหมากดูก เนื่องจากได้รับคำแนะนำว่าเดินทางนี้ วิวสวยกว่า เย็นกว่า และเดินสบายกว่า (เนื่องจากพื้นไม่เป็นทรายมากเท่า)
เรามาเริ่มการเดินทางด้วยการไปสักการะ องค์พระพุทธเมตตา ที่ลานพระศรีนครินทร์ ใครที่ขึ้นมาบนภูกระดึง ก็คงได้มีโอกาสได้สักการะขอพร จากพระพุทธรูปองค์นี้กันทุกคน
จากนั้นก็เดินทางต่อ วิวข้างทางสวยจริงๆด้วย สนสามใบแบบนี้ให้บรรยากาศเหมือนอยู่จูราสสิคภาคเลยว่ะ ไม่เคยคิดว่าจะเห็นวิวแบบนี้มาก่อนในเมืองไทย
เดินไปเรื่อยๆ ก็เปลี่ยนโซนจากจูราสสิคภาค กลายมาเป็นโซน ซะวันน่า ซะงั้น อยู่ดีๆก็เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆไกลสุดลูกหูลูกตา มีต้นไม้ชะลูดๆโดดๆอยู่เป็นแบ็คกราวลิบๆ
อะแฮ่ม ถึงแม้จะอากาศจะเย็นๆ ชิลๆ แต่ว่าแดดนี่ไม่ชิลเลยครับ แรงเหมือนกรุงเทพหยั่งไงหยั่งงั้น เหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าท่านยังอยู่ใน 'ไทยแลนด์ แดนแดดร้อน' เพราะฉะนั้น ไปภูกระดึง กรุณาอย่าลืมเครื่องป้องกันแดด ไม่ว่าจะเป็น แว่นกันแดด ครีมกันแดด หมวก หรือร่มด้วยนะครับ ประมาณว่า ขึ้นภูที ต้องเตรียมเครื่องแต่งกายให้ครบทุกฤดู
เดินไปเรื่อยๆ ประมาณสี่สิบนาทีจากพระพุทธเมตตา (ราวๆ 2.8 กิโล) ในที่สุด เราก็มาถึง 'สระอโนดาต' แล้วล่ะครับ
สภาพที่เห็น มันก็เป็น 'สระ' จริงๆนั่นแหละ แต่ว่า น้ำมัน หายไปไหนหมดล่ะฟะ -_-
เอาน่ะ ถึงแล้วก็เลยนั่งพัก ถอดรองเท้่า นวดขา (กลายเป็นกิจกรรมประจำเวลาขึ้นภูไปแล้ว ไอ้ที่เวลาพักทีต้องควักโวทาเลนมานวดๆน่องเนี่ย) แน่นอนว่าต้องมีการถ่ายรูป ซึ่งก็ได้แอ็คประหลาดๆมาตามระเบียบ
จากนั้นก็เป็นการเดินๆๆๆๆๆ และเดินต่อไป ซึ่งทางเดินเริ่มมีอะไรแปลกๆ วิบากๆ เจอโซนป่าดิบน่ากลัวบ้าง ด้วยความที่มันไม่มีป้ายกิโลปักเล้ย เลยแอบหวั่นๆว่านี่มาถูกทางรึเปล่าเนี่ย ถ้าไม่ได้เดินมากลุ่มใหญ่อย่างงี้คงเหวงเอาเหมือนกันอยู่ เดินไปเรื่อยๆนี่ก็เริ่มเหนื่อยได้ที่แหละ ดีที่วิวข้างทางแถวนี้เค้าดีจริง เดินไปแว้บๆก็เจอทุ่งเฟิร์น เขียวปื้ดดดไปทั้งแถบ เจอต้นไม้สวยๆบ้าง
ความจริงก็มีทริคอีกแบบที่ช่วยให้การเดิน อัพสปีดขึ้นหน่อย นั่นก็คือ การตั้งกล้องเอาไว้แล้วบอก 'เอ้า ถ่ายรูปปป' เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะตาลีตาเหลือกวิ่งขึ้นมาให้อยู่ในเฟรมกันทันที
จะว่าไป ตอนนี้มาดูแผนที่ ก็ถอดใจเหมือนกันนะเนี่ย เดินมาตั้งนาน เพิ่งจะประมาณ 7.5 กิโล หรือสามในสี่ของที่ต้องเดิน ยังเหลืออีก ราวๆ 2.5 กิโลได้กว่าจะถึง แต่เอาเหอะ ยังไงมาทั้งที ก็ต้องใช้(ตีน)ให้คุ้มใช่มะ ก็เดินกันต่อไป ^^
เอ้า เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย
ยังไม่ถึงจิงๆด้วย นี่ก็นั่งอัพบล็อกมานานเกินแล้วอะ ไว้มาต่อคราวหน้าละกัน 55 (แล้วเมื่อไหร่จะจบเนี่ยยย)
แต่คิดอีกที วีดีโอก็ยังไม่ได้เอามาดู แถมวีคเอนด์นี้ก็มีโปรแกรมไปอัมพวา(รอบที่สาม)จ่ออีก ก็ขอมาอัพภูกระดึงก่้อนละกัน
ปาดเหงื่อแล้วลุยล่ะนะ!!
หลังจากสโลสเลไปนอนต่อ หลังกลับจากผานกแอ่น ก็ได้เวลากินข้าวเที่ยง แล้วออกเดินทาง กับระยะทางที่แสนจะยาววววววววสุดๆ กับจุดหมายปลายทางที่จะไปผาหล่มสัก ซึ่งไกลแค่ 10 กิโลจากที่พักเอ๊ง -_-
เราเลือกเส้นทางเดินด้านบนผ่านสระอโนดาต ก่อนจะเดินลงมาที่ผาแดง แล้วไปที่ผาหมากดูก เนื่องจากได้รับคำแนะนำว่าเดินทางนี้ วิวสวยกว่า เย็นกว่า และเดินสบายกว่า (เนื่องจากพื้นไม่เป็นทรายมากเท่า)
เรามาเริ่มการเดินทางด้วยการไปสักการะ องค์พระพุทธเมตตา ที่ลานพระศรีนครินทร์ ใครที่ขึ้นมาบนภูกระดึง ก็คงได้มีโอกาสได้สักการะขอพร จากพระพุทธรูปองค์นี้กันทุกคน
จากนั้นก็เดินทางต่อ วิวข้างทางสวยจริงๆด้วย สนสามใบแบบนี้ให้บรรยากาศเหมือนอยู่จูราสสิคภาคเลยว่ะ ไม่เคยคิดว่าจะเห็นวิวแบบนี้มาก่อนในเมืองไทย
เดินไปเรื่อยๆ ก็เปลี่ยนโซนจากจูราสสิคภาค กลายมาเป็นโซน ซะวันน่า ซะงั้น อยู่ดีๆก็เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆไกลสุดลูกหูลูกตา มีต้นไม้ชะลูดๆโดดๆอยู่เป็นแบ็คกราวลิบๆ
อะแฮ่ม ถึงแม้จะอากาศจะเย็นๆ ชิลๆ แต่ว่าแดดนี่ไม่ชิลเลยครับ แรงเหมือนกรุงเทพหยั่งไงหยั่งงั้น เหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าท่านยังอยู่ใน 'ไทยแลนด์ แดนแดดร้อน' เพราะฉะนั้น ไปภูกระดึง กรุณาอย่าลืมเครื่องป้องกันแดด ไม่ว่าจะเป็น แว่นกันแดด ครีมกันแดด หมวก หรือร่มด้วยนะครับ ประมาณว่า ขึ้นภูที ต้องเตรียมเครื่องแต่งกายให้ครบทุกฤดู
เดินไปเรื่อยๆ ประมาณสี่สิบนาทีจากพระพุทธเมตตา (ราวๆ 2.8 กิโล) ในที่สุด เราก็มาถึง 'สระอโนดาต' แล้วล่ะครับ
สภาพที่เห็น มันก็เป็น 'สระ' จริงๆนั่นแหละ แต่ว่า น้ำมัน หายไปไหนหมดล่ะฟะ -_-
เอาน่ะ ถึงแล้วก็เลยนั่งพัก ถอดรองเท้่า นวดขา (กลายเป็นกิจกรรมประจำเวลาขึ้นภูไปแล้ว ไอ้ที่เวลาพักทีต้องควักโวทาเลนมานวดๆน่องเนี่ย) แน่นอนว่าต้องมีการถ่ายรูป ซึ่งก็ได้แอ็คประหลาดๆมาตามระเบียบ
(โปรดสังเกตให้ดีๆทั้งสองรูป รูปซ้าย - รองเท้ากูต้องได้รับการปฐมพยาบาลปะรูรั่ว ด้วยเทปผ้า ส่วนด้านขวา เฮียแมนไม่ได้โชว์อภินิหารตัวเบาลอยบนน้ำนะครับ มันมีหินอยู่ใต้ตีน)
จากนั้นก็เป็นการเดินๆๆๆๆๆ และเดินต่อไป ซึ่งทางเดินเริ่มมีอะไรแปลกๆ วิบากๆ เจอโซนป่าดิบน่ากลัวบ้าง ด้วยความที่มันไม่มีป้ายกิโลปักเล้ย เลยแอบหวั่นๆว่านี่มาถูกทางรึเปล่าเนี่ย ถ้าไม่ได้เดินมากลุ่มใหญ่อย่างงี้คงเหวงเอาเหมือนกันอยู่ เดินไปเรื่อยๆนี่ก็เริ่มเหนื่อยได้ที่แหละ ดีที่วิวข้างทางแถวนี้เค้าดีจริง เดินไปแว้บๆก็เจอทุ่งเฟิร์น เขียวปื้ดดดไปทั้งแถบ เจอต้นไม้สวยๆบ้าง
ความจริงก็มีทริคอีกแบบที่ช่วยให้การเดิน อัพสปีดขึ้นหน่อย นั่นก็คือ การตั้งกล้องเอาไว้แล้วบอก 'เอ้า ถ่ายรูปปป' เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะตาลีตาเหลือกวิ่งขึ้นมาให้อยู่ในเฟรมกันทันที
นี่เขียนมานานแล้ว ก็ยังไม่ถึงผาสักที 555 เอาน่า ตอนเดินจริงมันก็ไกลอย่างงี้แหละ ในที่สุด เกือบสองชั่วโมงถัดมา เราก็มาถึง ผาแดง จนได้ ดีที่มีร้านพัำก ให้สั่งข้าวเหนียวปิ้ง น้ำแข็งไส ไข่ปิ้ง มาชาร์จพลังอีกรอบก่อนไปนั่งชิลดูวิว ถ่ายรูปที่ผาแดงกัน แน่นอนว่า เนื่องจากเป็นผาแรกที่มาเห็นที่นี่ เลยต้องตื่นเต้ลลกันเป็นธรรมดา ยิ่งโดยเฉพาะตอนนั่งเอาขาหย่อนลงไป ให้ลมมันตีเล่นๆนี่ หวิวดีพิกล ไอ้กี๋นี่ร้องโวยวายเสียวพวกกูตกผาแทน
จะว่าไป ตอนนี้มาดูแผนที่ ก็ถอดใจเหมือนกันนะเนี่ย เดินมาตั้งนาน เพิ่งจะประมาณ 7.5 กิโล หรือสามในสี่ของที่ต้องเดิน ยังเหลืออีก ราวๆ 2.5 กิโลได้กว่าจะถึง แต่เอาเหอะ ยังไงมาทั้งที ก็ต้องใช้(ตีน)ให้คุ้มใช่มะ ก็เดินกันต่อไป ^^
เอ้า เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย
ยังไม่ถึงจิงๆด้วย นี่ก็นั่งอัพบล็อกมานานเกินแล้วอะ ไว้มาต่อคราวหน้าละกัน 55 (แล้วเมื่อไหร่จะจบเนี่ยยย)
อ่า เป็นฤดูเนิร์ดที่สุดหฤโหดทีเดียว
Fluid Mechanics... วิชาอะไรของมันเนี่ย
จะว่าไป คราวนี้อาจจะเป็นเทอมแรกก็ได้ ที่อ่านหนังสือ 'ไม่ทัน' จริงๆ
อย่างไรก็ตามสุดท้ายแทนที่จะนั่งทำโจทย์ ก็มาจมปลักอัพบล็อกอีกจนได้นะเรา 55
ก็อดไม่ได้จริงๆนี่
มีเรื่องชิลๆมาให้ดูกัน ยกเครดิตให้บอร์ดพันทิป ที่มีอะไรหนุกๆมาให้ดูตลอด
เรื่องแรก เป็นเกมแฟลชสุดนรก ชื่อว่า
人生オワタ\(^o^)/の大冒険
หรือเรียกง่ายๆว่า OWATA
คลิกไปเล่นได้ที่นี่ http://blog53.fc2.com/k/king75/file/owata.html
ลองเล่นดูละกัน z กระโดด x ยิงปืน
โคตรกวนตีน ยังกระโดดข้ามไอ้หนามนั่้นไม่ได้เล้ยยย T_T
(ถึงกระโดดข้ามได้ก็อย่าเพิ่งดีใจเหอะ)
สำหรับคนที่ถอดใจแล้ว หรือคิดว่า ' ใครมันจะเล่นได้ฟะ ' กรุณาคิดใหม่ แล้วดูคลิปนี้
http://www.youtube.com/watch?v=kNNIzXE8zbE
แล้วจะเห็นความกวนตีนอย่างแรงของไอ้เกมนี้
เรื่องที่ 2 โดนตบหัวเข้าไปดูคลิปโต๋เล่นเปียโนที่ BBA ธรรมศาสตร์
http://www.jiggaban.com/bba-charity-concert-first-love-toe/
โต๋จริงจริ๊งงงง เสียงกรี๊ดนี่กระหึ่มกว่าเพลงอีก (เล่นเพลง 'คนใจง่าย' ด้วยนะเออ)
ส่วนที่จะเขียนต่อไปนี้ ถอดความ(โดยประมาณ)ก่อนเข้าเพลงท้ายสุด 'รักเธอ'
<โต๋> เพลงต่อไป... ช่วยกันร้องหน่อยนะครับ
เพราะไม่รู้ทำไมเวลาร้องเพลงนี้ เสียงหายทุกทีเลย <--- แหมมมมม แย่จังเลยเนอะ
<คนดู> กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
<โต๋> รู้รึเปล่าครับว่าเพลงนี้เพลงอะไร
<คนดู> รักโต๋............. <--- น่านนน เอามั้ยล่ะ
<โต๋> อะไรนะครับ ไม่ค่อยได้ยิน <--- หูดับขึ้นมากระทันหันซะงั้นอะ
<คนดู> ร้ากกกโต๋............. <--- T_T อิจฉาว้อยยยยยยย
จากนั้นในเพลงแม่งก็ ... รักโต๋ ... รักโต๋.... รักโต๋... ท้างเพลงงงง แมร่งงงง พี่บอยด์นะพี่บอยด์ รู้ล่ะสิว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ นี่ถ้าเป็นคนอื่นริมาร้องเพลงนี้แทน แทนที่จะเป็น 'รักเธอ' อาจจะเป็น 'ดั๊กยู' แทนก็ได้... เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนหล่อนี่มันทำอะไรไม่ผิดจริงๆด้วยวุ้ย ...
ว่าแต่ สอบเสร็จไปแกะ 'ตึ๊งตึง' กับเขาด้วยคนดีมั้ยเนี่ย...
(UPDATED : ไปเจอคนโพสต์คลิปไว้ใน youtube เลยเอามาลงไว้ซะหน่อย)
บ่นแค่นี้แหละ ไปอ่านหนังสือต่อแล้ววว
ปล. ยังไม่ได้ซื้อโต๋มาฟัง แต่ถอย etc. มาแล้ว เป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงไทยที่ชอบที่สุดในปีนี้ของเราชัวร์ๆ ดนตรีชวนโยกสุดๆ ซื้อมาสามวันนี่ฟังทั้งอัลบั้มไปสิบกว่ารอบแล้วเนี่ย highly recommended ครับ ๋
Fluid Mechanics... วิชาอะไรของมันเนี่ย
จะว่าไป คราวนี้อาจจะเป็นเทอมแรกก็ได้ ที่อ่านหนังสือ 'ไม่ทัน' จริงๆ
อย่างไรก็ตามสุดท้ายแทนที่จะนั่งทำโจทย์ ก็มาจมปลักอัพบล็อกอีกจนได้นะเรา 55
ก็อดไม่ได้จริงๆนี่
มีเรื่องชิลๆมาให้ดูกัน ยกเครดิตให้บอร์ดพันทิป ที่มีอะไรหนุกๆมาให้ดูตลอด
เรื่องแรก เป็นเกมแฟลชสุดนรก ชื่อว่า
人生オワタ\(^o^)/の大冒険
หรือเรียกง่ายๆว่า OWATA
คลิกไปเล่นได้ที่นี่ http://blog53.fc2.com/k/king75/file/owata.html
ลองเล่นดูละกัน z กระโดด x ยิงปืน
โคตรกวนตีน ยังกระโดดข้ามไอ้หนามนั่้นไม่ได้เล้ยยย T_T
(ถึงกระโดดข้ามได้ก็อย่าเพิ่งดีใจเหอะ)
สำหรับคนที่ถอดใจแล้ว หรือคิดว่า ' ใครมันจะเล่นได้ฟะ ' กรุณาคิดใหม่ แล้วดูคลิปนี้
http://www.youtube.com/watch?v=kNNIzXE8zbE
แล้วจะเห็นความกวนตีนอย่างแรงของไอ้เกมนี้
เรื่องที่ 2 โดนตบหัวเข้าไปดูคลิปโต๋เล่นเปียโนที่ BBA ธรรมศาสตร์
http://www.jiggaban.com/bba-charity-concert-first-love-toe/
โต๋จริงจริ๊งงงง เสียงกรี๊ดนี่กระหึ่มกว่าเพลงอีก (เล่นเพลง 'คนใจง่าย' ด้วยนะเออ)
ส่วนที่จะเขียนต่อไปนี้ ถอดความ(โดยประมาณ)ก่อนเข้าเพลงท้ายสุด 'รักเธอ'
<โต๋> เพลงต่อไป... ช่วยกันร้องหน่อยนะครับ
เพราะไม่รู้ทำไมเวลาร้องเพลงนี้ เสียงหายทุกทีเลย <--- แหมมมมม แย่จังเลยเนอะ
<คนดู> กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
<โต๋> รู้รึเปล่าครับว่าเพลงนี้เพลงอะไร
<คนดู> รักโต๋............. <--- น่านนน เอามั้ยล่ะ
<โต๋> อะไรนะครับ ไม่ค่อยได้ยิน <--- หูดับขึ้นมากระทันหันซะงั้นอะ
<คนดู> ร้ากกกโต๋............. <--- T_T อิจฉาว้อยยยยยยย
จากนั้นในเพลงแม่งก็ ... รักโต๋ ... รักโต๋.... รักโต๋... ท้างเพลงงงง แมร่งงงง พี่บอยด์นะพี่บอยด์ รู้ล่ะสิว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ นี่ถ้าเป็นคนอื่นริมาร้องเพลงนี้แทน แทนที่จะเป็น 'รักเธอ' อาจจะเป็น 'ดั๊กยู' แทนก็ได้... เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนหล่อนี่มันทำอะไรไม่ผิดจริงๆด้วยวุ้ย ...
ว่าแต่ สอบเสร็จไปแกะ 'ตึ๊งตึง' กับเขาด้วยคนดีมั้ยเนี่ย...
(UPDATED : ไปเจอคนโพสต์คลิปไว้ใน youtube เลยเอามาลงไว้ซะหน่อย)
บ่นแค่นี้แหละ ไปอ่านหนังสือต่อแล้ววว
ปล. ยังไม่ได้ซื้อโต๋มาฟัง แต่ถอย etc. มาแล้ว เป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงไทยที่ชอบที่สุดในปีนี้ของเราชัวร์ๆ ดนตรีชวนโยกสุดๆ ซื้อมาสามวันนี่ฟังทั้งอัลบั้มไปสิบกว่ารอบแล้วเนี่ย highly recommended ครับ ๋
Sunrise @ Nok An Cliff
ตกดึกหลังจากเข้านอน ตอนตีสามต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหนาวเย็นยะเยือกกก แค่เสื้อนอนสองชั้นกับกางเกงเล (กระแดะมาก เอากางเกงเลบางๆมาภูเนี่ย) นี่ ยั้งความหนาวไม่อยู่จิงๆ สุดท้ายเลยต้องหยิบแจ๊คเกตหนานุ่มกะหมวกมาคลุมหัวซะ จิบน้ำสักสี่ห้าอึกให้หายเจ็บคอ แล้วค่อยนอนต่อไป
หลับไปผลอยเดียว มือถือที่ตั้งปลุกไว้ตอนตีสี่ครึ่งก็ดัง ไอ้รุ่นนี้มันฉลาดรู้ใจมาก ถ้าจะปิดโหมดต้องกดย้ำสองที (ห่างกันด้วย) เพราะตามนิสัยคนเรา ปลุกครั้งแรก พอกดปิดปุ๊บก็หลับต่อเฉย ต้องรอให้มันผ่านไปสักสิบนาที จนมันปลุกด่าอีกรอบถึงยอมตื่นจริงๆ 555
ตื่นขึ้นมาก็คว้าไฟฉาย ลอยเปนวิญญาณเข้าไปในห้องน้ำ แปรงฟัน ก่อนจะกลับมายัดเสื้อหนาวพอกเข้าไปอีกเป็น 5 ชั้น + ผ้าพันคอ หมวก (ที่ใส่ตั้งแต่ตอนนอน) และถุงมือ เรียกได้ว่าพร้อมรบจริงๆ (ดูสองภาพล่างก็ได้ว่าแต่ละคนนี่ใส่กันหนาขนาดไหน)
จะว่าไปนี่ตอนอยู่เมกาก็ไม่ได้ใส่เสื้อหนาขนาดนี้เหอะถึงอากาศมัน(อาจ)จะเย็นกว่า แต่โปรดอย่าลืมว่า เวลาท่านตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ถ้าไม่มีอะไรอุ่นๆให้ซดก่อน มันจะรู้สึกหนาวกว่าปกติอยู่แล้ว และแน่นอนว่าที่นี่ไม่มีฮีตเตอร์ ถึงจะเป็นบ้านแต่ไอเย็นก็แทรกเข้ามาได้อยู่ดี (ว่าแต่ ไอ้พวกนอนเต้นท์นี่มันอยู่ได้ไงฟะ)
ร่ายมาตั้งนานอาจมีบางคนสงสัยว่าทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้ ก็เพราะว่า ตีห้าครึ่งเราต้องไปที่ศูนย์ เพื่อตามเจ้าหน้าที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นนั่นเอง ^^ (เพื่อให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นตอนหกโมง) หลังจากรวมพลเรียบร้อยก็สโลสเลไปเรื่อยๆ เดินไปอีกสองกิโลท่ามกลางความมืดมิด กว่าจะไปถึงก็ประมาณหกโมง แล้วก็นั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตามแบบฉบับ คอยลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่จะขึ้น
น่านน มาแล้ว กลมๆ แดงๆ ที่เส้นขอบฟ้า
speechless moment
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่า... ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ถ่ายภาพมาอย่างไร ก็ไม่ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ตรงนั้น อากาศเย็นๆ วิวสวยๆ บรรยากาศทั้งหมดทำให้เป็นประสบการณ์ 'ดูพระอาทิตย์ขึ้น' ที่น่าประทับใจจริงๆโชคไม่ดีที่วันนี้เมฆเยอะ เลยเหนพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่ชัด แต่กลับเป็นว่า พอมีเมฆ มันก็สวยไปอีกแบบนะ ^^
speechless moment
และแน่น้อน ด้วยความที่เป็นโปรแกรมแรก วิญญาณบ้ากล้องเลยสิงเต็มที่ ถ่ายรูปออกมากันตรึมจนชนิดที่ว่า กลับบ้านมาเปิดสไลด์โชว์ แม่นั่งบ่นว่านี่ชั้นดูพระอาทิตย์ขึ้นมาเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วนะ (แหงเดะ ชั่วโมงครึ่งนี่ถ่ายเข้าไปสองร้อยห้าสิบรูปได้)
ส่วนนี้ ได้ฟีลเป็น'พระเอกเกาหลี จริงๆ (แม่ยังชม 55)
เผลอแผล่บเดียวก็เจ็ดโมงครึ่ง ได้เวลาออกเดินทางกลับ แต่แวะไปนมัสการพระที่ลานวัดพระแก้วก่อน ระหว่างทางเดินที่ขามามองไม่เห็นอะไรเลย พอตอนนี้กลับสวยอย่างไม่น่าเชื่อ มีกลิ่นสนหอมๆโชยมาให้ชื่นใจเล่นๆ เป็นการรับวันใหม่ที่สุดยอดจริงๆ
พอไหว้พระเสร็จก็เดินกลับที่พัก แต่ระหว่างทางมองไป ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น ด้วยความที่มีเมฆครึ้มๆอยู่ แสงอาทิตย์เลยสองผ่านออกมาเป็นม่านแสงแบบ The Lion King เลย เหมือนเป็น special bonus ให้อย่างไงอย่างงั้น นึกถึงไอ้ฉากการ์ตูนแบบที่ แสงส่องมาจากสวรรค์เลยว่ะ ไม่คิดว่าจะมีจริงนะเนี่ย ^^
ถือเป็นการส่งท้ายโปรแกรมแรกที่น่าประทับใจสุดๆ ก่อนจะกลับศูนย์ ไปหาโจ๊กร้อนๆ และปาท่องโก๋ (ราดนมข้นเยอะๆ) แล้วก็กลับไปนอนเอาแรง ก่อนที่ตอนบ่ายจะไปลุยโปรแกรมการเดินสู่ 'ผาหล่มสัก' ที่ลือชื่อ ทั้งเรื่องชอตหน้าผาสุดคลาสสิคและระยะทางสุดไกลกว่า 9 กิโล
(โปรดติดตามตอนต่อไป ขอไปอ่านหนังสือต่อล่ะน้าา ว่าแต่... กี่ part ถึงจะจบเนี่ย -_-)
พอไหว้พระเสร็จก็เดินกลับที่พัก แต่ระหว่างทางมองไป ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น ด้วยความที่มีเมฆครึ้มๆอยู่ แสงอาทิตย์เลยสองผ่านออกมาเป็นม่านแสงแบบ The Lion King เลย เหมือนเป็น special bonus ให้อย่างไงอย่างงั้น นึกถึงไอ้ฉากการ์ตูนแบบที่ แสงส่องมาจากสวรรค์เลยว่ะ ไม่คิดว่าจะมีจริงนะเนี่ย ^^
ชอตแบบนี้ไม่ได้มีแต่ในการ์ตูน
ถือเป็นการส่งท้ายโปรแกรมแรกที่น่าประทับใจสุดๆ ก่อนจะกลับศูนย์ ไปหาโจ๊กร้อนๆ และปาท่องโก๋ (ราดนมข้นเยอะๆ) แล้วก็กลับไปนอนเอาแรง ก่อนที่ตอนบ่ายจะไปลุยโปรแกรมการเดินสู่ 'ผาหล่มสัก' ที่ลือชื่อ ทั้งเรื่องชอตหน้าผาสุดคลาสสิคและระยะทางสุดไกลกว่า 9 กิโล
(โปรดติดตามตอนต่อไป ขอไปอ่านหนังสือต่อล่ะน้าา ว่าแต่... กี่ part ถึงจะจบเนี่ย -_-)
รูปเยอะ เนื้อหาเยอะ ค่อยๆอ่านไปนะ อ่านไม่จบก็มาอ่านวันหลังได้ รูปมองไม่เห็นก็คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ได้เหมือนกัน ^^
หลังจากกลับมาจากเสม็ดด้วยสภาพร่างกายที่ยับเยิน ก็มีเวลาพักหนึ่งวันก่อนที่จะไปยับเยินต่อ (ฮา) ที่ ภูกระดึง หนึ่งในสถานที่ที่แต่ก่อนไม่เคยคิดที่จะอยากขึ้นไปสักนิด แต่เวลาผ่านไปความคิดก็เปลี่ยนไป กลายเป็น 'สักครั้งน่าในชีวิต ที่จะต้องขึ้นไปสักครั้ง' จริงๆไอ้วันกลับจากเสม็ดนี่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า นี่กูจะไปไหวป่าวเนี่ย แต่ก็.. เอาเฮอะ ยังไงก็ต้องไปน่า
ต้องเท้าความไปถึงก่อนปิดกีลามหาลัยตอนโน้นนนนน ที่การวางแผนทริปไปเที่ยวช่วงนี้แตกออกเปนสองกลุ่ม กลุ่มนึงไปเสม็ด อีกกลุ่มไปภูกระดึง ไม่รู้จัดการยังไง แต่สุดท้ายเราก็อุตส่าห์ดันให้สองทริปนี้มันไม่ซ้อนเวลากัน แล้วก็ไปแม่งทั้งสองที่เลย (โดยไม่เจียมสังขารตัวเองซะก่อน 55)
คราวนี้ได้เพื่อนร่วมเดินทางจากกรุ๊ปอี ไออี และเพื่อนของเพื่อน มาประกอบกันเป็นกลุ่ม 12 คนพอดี๊พอดี นัดกันเจอที่หมอชิต ออกรถโดยชุมแพทัวร์เมื่อตอนสามทุ่ม นั่งๆ นอนๆ ดูวีซีดีเฮียอาร์โนลด์ฉายเดี่ยว ไปถล่มกองทัพทหารที่แม็กซิโกเพื่อช่วยลูกสาว (แต่เล่นฆ่าทหารที่ไม่รู้เป็นพ่อของเด็กๆซะกี่คนตายกันเป็นกองทัพ) ในที่สุด ตอนตี่สี่กว่าๆก็ไปถึง 'ร้านเจ๊กิม' แวะทานข้าวเช้าก่อนจะเหมาสองแถวขึ้นไปที่ตีนภู และเริ่มมหากาพย์การเดิน ที่ภูกระดึงเสียที กับอา่กาศที่เย็นสบายต่างกับในกรุงเทพอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากจัดการ คอนเฟิร์มบ้าน มัดจำขยะ (ต้องมีการมัดจำขยะที่ย่อยสลายไ่ม่ได้ที่แบกขึ้นไปข้างบน โดยตอนขาลงจะต้องเอาขยะมาที่ข้างล่างเพื่อรับเงินมัดจำคืน) และก็จ้างลูกหาบ ที่ตอนนี้ถึงแม้จะขึ้นราคาจากกิโลละ 10 เป็น 15 แล้ว แต่ก็ขอยืนยันว่า 'สุดจะคุ้มเหลือเกิน' เพราะกระเป๋าแต่ละคนนีี่ก็หนัก 6-8 โลกันทั้งนั้น (ภาพด้านซ้ายนี่หวานจังเรยยย)
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์การเดินทาง กับการตำนานการเดินขึ้นภูกระดึง ที่สุดแสนจะคลาสสิคตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่เค้าว่าแสนจะลำบากยากเข็ญ กับระยะทาง 5 กิโลกว่าๆ ขึ้นไปสูงถึงประมาณ 1.2 กม จากระดับน้ำทะเล (แต่ตอนนั่งรถจากตีนภูขึ้นมาถึงที่ทำการ ก็ขึ้นมาเกือบสองร้อยเมตรแล้วแหละ)
หลังจากเริ่มจากจุดสตาร์ทได้ไม่ถึงสิบนาที ทุกคนก็พร้อมใจถอดเสื้อหนาวออกกันถ้วนหน้า ถึงเหงื่อจะไม่ออกเพราะอากาศเย็น แต่ร่างกายก็ปรับอุณหภูมิขึ้นมาทันที กับความชันที่มาแบบไม่ยั้งจนกระทั่งถึงซำแฮก ข้างทางเป็นป่าไผ่ที่ตอนนี้กำลังแห้งๆ ออกสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนเป็นการเกริ่นนำว่า ขึ้นไป วิวสวยกว่านี้แน่น้อนน
แปร๊บๆก็เดินไปหนึ่งกิโลเมตร ขึ้นไปถึงซำแฮก จุดพัำำกแรกที่ก็แฮกกันถ้วนหน้า (ยกเว้นเฮียแมนที่ฟิตตลอดทาง กับคุณโบที่ตอนนี้ยังอยู่ในกลุ่ม 'ผู้นำ'อยู่ )
เนื่องจากเราใช้นโยบายเดินแบบชิลๆ ก็เลยพักมันทุกที่ที่มีจุัดพักเนี่ยแหละ จะว่าไปทริปนี้เป็นทริปที่เรื่องอาหารการกินอุดมสมบูรณ์แบบไม่น่าเชื่อ คือก่อนมานึกว่าจะต้องอดอยากกว่าเนี้ยะ แต่นี้ พักที ก็สั่งน้ำปั่นมั่ง น้ำแข็งไสมั่ง แตงโมมั้ง และที่มาแรงแซงโค้งพอๆกันคือ 'ไข่ปิ้ง' กะ 'ข้าวเหนียวปิ้ง' โดยเฉพาะไข่เนี่ย แทบจะกินกันทุกมื้อ (ถึงไม่ใช่ไข่ปิ้ง ก็ไข่เจียวมั่ง) ทั้งๆที่ความจริง แบกไข่ขึ้นมามันน่าจะยากนะ (เนอะ)
เดินไปเดินมา ในที่สุดก็ถึง 'ซำแคร่' (กรุณาดูแผนที่ประกอบ) จุดพักสุดท้ายก่อนถึงหลังแป ซึ่งเหมือนเปนจุดสตาร์ท 'ของจริง' คือ ขึ้นไปพรวดเดียว 1.3 กมกับความสูงที่ต้องไต่ขึ้นไปประมาณสามร้อยเมตรได้ พูดง่ายๆคือโคตรชันว่างั้นเหอะ มีทางขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งต้องปีนๆขึ้นไป ทั้งบันไดที่ชันพอๆกับนครวัด (ไม่รู้ลูกหาบหาบของขึ้นไปได้ไง)
แต่ว่า เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้เหนื่อยมากนะ เผลอแผล่บๆก็ ถึงซะแล้วหลังแป (เย้) คือมันถึงโดยไม่คิดว่าจะถึงแล้วจิงๆเหอะ คือทุกคนก็ อ้าว ถึงแล้วเรอะ สรุปคือ มันไม่ได้ยากกว่าที่คิดหรอก ไอ้ตอนขึ้นเนี่ย (แต่ตอนอื่นค่อยว่าอีกทีนะ 55) แน่น้อน ก็ขึ้นไปถึงตอนเที่ยง นับๆเวลาได้สี่ชั่วโมงครึ่งในการปีนขึ้นมา ก็นับว่าโอนะ เพราะเล่นพักชิลๆไปทุกๆจุดเลย แน่นอนว่าขึ้นมาถึง ต้องถ่ายรูปกับป้ายสุดคลา่สสิคที่ทุกคนต้องมี ถือเป็นชอตบังคับกันว่างั้นเหอะ ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณไอ้กี๋ ที่แบก D70 พร้อมออปชั่นครบครัน มาเป็นช่างภาพประจำทริป จบทริปนี้เลยได้รูปสวยๆไปตรึม จุใจไปข้าง
ถึงแม้จะ 'ขึ้นไปถึง'แล้ว แต่ความจริงก็คือ ขึ้นแม้จะไปถึงหลังแปแล้ว ยังต้องเดินอีก 3 กิโลน่ะสิ ตามเว็บก็เห็นเขียนกันว่า ตอนขึ้นน่ะเหนื่อย แต่ไอ้สามโลนี่ชิลๆ แต่ทำไมกูคิดว่าขึ้นน่ะชิลๆ แต่เดินเนี่ยโคตรเหนื่อยเลยวะ -_- คือไอ้สามโลเนี่ย ต้นไม้มันไม่คลุมทางเดิน ก็เลยร้อนแดดสุดๆ แถมทางยังเป็นทรายละเอียดเหมือนเดินชายหาดที่เสม็ดยังไงอย่างงั้น เพิ่มความทรหดขึ้นไปอีก ไอ้ตอนขึ้นมานี่ไม่ค่อยถามกันหรอกว่า ไมไม่ถึงสักทีวะ แต่ไอ้ตอนเดินสามโลอันเนี้ยะ บ่นตลอดเลยว่างั้นเหอะ 55 สรุปคือต้องเดินไปอีกประมาณชั่วโมง กว่าจะถึงศูนย์ก็บ่าย
ไปถึงก็รอกระเป๋า (นี่เราเดินไปถึงก่อนกระเป๋านะเฟ่ย 55) ตอนนั่งรอก็เจอพวกแพร ที่ขึ้นมากันก่อน ช่วงนี้ก็เงี้ยะแหละ เด็กจุฬาขึ้นมาตรึม ขึ้นมาก็เจอข่าวดีเลย เพราะว่าบ้านพักของพวกเรา มีเครื่องทำน้ำอุ่น(พลังแก๊ส) นั่นเอง คือความจริงมันก็มีทุกบ้านแหละ แต่ว่าก่อนมาไม่รู้ไงว่ามี อุตส่าห์ทำใจแทบตายก่อนมา ซึ่งไอ้ตอนได้อาบน้ำอุ่นเนี่ย เหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆนะเนี่ย ไม่มีคงไม่ได้อาบกันชัวร์
ส่วนบ้านพักนี่ ก็ใช้ได้เลยนะ ถึงจะไกล(มากๆ)ไปหน่อย ก็มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ มีฟูก หมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวพร้อมที่แขวน ดีกว่าที่คิดไว้เลยแหละ ยัีงไงก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้่วที่เช่าบ้าน ไม่งั้นนอนเต้นท์คงลำบากกว่านี้เยอะ แค่เอาของมากองก็คงเต็มเต้นท์แล้ว ไหนจะเรื่องห้องน้ำอะไรอีก สรุปคือคุ้มสุดๆ ไม่งั้นฟีลต่อทริปนี้อาจจะกลับตรงข้ามเลยก็ได้มั้ง (เหมือนตอนไปโฮสเทลที่นิวยอร์ก ที่พอเหนื่อยๆกลับมาต้องเจอที่พักที่ต้องมาลำบากอีก)
ถึงบ้าน จัดของเรียบร้อยปุ๊บ ก็ได้เวลานอน 55 ตื่นมาอีกทีตอนเกือบห้าโมง ตอนแรกไอ้กี๋ว่าจะฟิตไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่ไปๆมาๆก็เจอโรคขี้เกียจ เลยเดินเล่น ชาร์จแบตที่ศูนย์ อากาศดีสุดๆ (คิดถึงจัง) ตกเย็นก็สมกับชื่อ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง เพราะมีกวางมาป้วนเปี้ยนตรึม
ตกเย็นก็ซัดข้าวเย็นกันไป ต้องขอบคุณฟาร์มกะแพรที่ช่วยแนะนำวางแผนการเดินเที่ยวกัน ถ้าไม่ได้นี่ก็คงยังงงๆอยู่ว่าควรจะเดินยังไงดี
จบไปแล้วกับวันแรก คอยติดตามตอนต่อไป กับวันที่2 : ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ตระเวนเดินชมผากว่าสิบโล ^^
แล้วก็ อย่าลืมนะครับ พฤหัสนี้ อบจ จุฬา เลือกเบอร์ 1 one plus ยกทีม :D
หลังจากกลับมาจากเสม็ดด้วยสภาพร่างกายที่ยับเยิน ก็มีเวลาพักหนึ่งวันก่อนที่จะไปยับเยินต่อ (ฮา) ที่ ภูกระดึง หนึ่งในสถานที่ที่แต่ก่อนไม่เคยคิดที่จะอยากขึ้นไปสักนิด แต่เวลาผ่านไปความคิดก็เปลี่ยนไป กลายเป็น 'สักครั้งน่าในชีวิต ที่จะต้องขึ้นไปสักครั้ง' จริงๆไอ้วันกลับจากเสม็ดนี่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า นี่กูจะไปไหวป่าวเนี่ย แต่ก็.. เอาเฮอะ ยังไงก็ต้องไปน่า
ต้องเท้าความไปถึงก่อนปิดกีลามหาลัยตอนโน้นนนนน ที่การวางแผนทริปไปเที่ยวช่วงนี้แตกออกเปนสองกลุ่ม กลุ่มนึงไปเสม็ด อีกกลุ่มไปภูกระดึง ไม่รู้จัดการยังไง แต่สุดท้ายเราก็อุตส่าห์ดันให้สองทริปนี้มันไม่ซ้อนเวลากัน แล้วก็ไปแม่งทั้งสองที่เลย (โดยไม่เจียมสังขารตัวเองซะก่อน 55)
คราวนี้ได้เพื่อนร่วมเดินทางจากกรุ๊ปอี ไออี และเพื่อนของเพื่อน มาประกอบกันเป็นกลุ่ม 12 คนพอดี๊พอดี นัดกันเจอที่หมอชิต ออกรถโดยชุมแพทัวร์เมื่อตอนสามทุ่ม นั่งๆ นอนๆ ดูวีซีดีเฮียอาร์โนลด์ฉายเดี่ยว ไปถล่มกองทัพทหารที่แม็กซิโกเพื่อช่วยลูกสาว (แต่เล่นฆ่าทหารที่ไม่รู้เป็นพ่อของเด็กๆซะกี่คนตายกันเป็นกองทัพ) ในที่สุด ตอนตี่สี่กว่าๆก็ไปถึง 'ร้านเจ๊กิม' แวะทานข้าวเช้าก่อนจะเหมาสองแถวขึ้นไปที่ตีนภู และเริ่มมหากาพย์การเดิน ที่ภูกระดึงเสียที กับอา่กาศที่เย็นสบายต่างกับในกรุงเทพอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากจัดการ คอนเฟิร์มบ้าน มัดจำขยะ (ต้องมีการมัดจำขยะที่ย่อยสลายไ่ม่ได้ที่แบกขึ้นไปข้างบน โดยตอนขาลงจะต้องเอาขยะมาที่ข้างล่างเพื่อรับเงินมัดจำคืน) และก็จ้างลูกหาบ ที่ตอนนี้ถึงแม้จะขึ้นราคาจากกิโลละ 10 เป็น 15 แล้ว แต่ก็ขอยืนยันว่า 'สุดจะคุ้มเหลือเกิน' เพราะกระเป๋าแต่ละคนนีี่ก็หนัก 6-8 โลกันทั้งนั้น (ภาพด้านซ้ายนี่หวานจังเรยยย)
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์การเดินทาง กับการตำนานการเดินขึ้นภูกระดึง ที่สุดแสนจะคลาสสิคตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่เค้าว่าแสนจะลำบากยากเข็ญ กับระยะทาง 5 กิโลกว่าๆ ขึ้นไปสูงถึงประมาณ 1.2 กม จากระดับน้ำทะเล (แต่ตอนนั่งรถจากตีนภูขึ้นมาถึงที่ทำการ ก็ขึ้นมาเกือบสองร้อยเมตรแล้วแหละ)
สู้ๆ สู้ตาย กม.0 ตอน 7.35 น. หน้าตายังดีกันอยู่
หลังจากเริ่มจากจุดสตาร์ทได้ไม่ถึงสิบนาที ทุกคนก็พร้อมใจถอดเสื้อหนาวออกกันถ้วนหน้า ถึงเหงื่อจะไม่ออกเพราะอากาศเย็น แต่ร่างกายก็ปรับอุณหภูมิขึ้นมาทันที กับความชันที่มาแบบไม่ยั้งจนกระทั่งถึงซำแฮก ข้างทางเป็นป่าไผ่ที่ตอนนี้กำลังแห้งๆ ออกสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนเป็นการเกริ่นนำว่า ขึ้นไป วิวสวยกว่านี้แน่น้อนน
แปร๊บๆก็เดินไปหนึ่งกิโลเมตร ขึ้นไปถึงซำแฮก จุดพัำำกแรกที่ก็แฮกกันถ้วนหน้า (ยกเว้นเฮียแมนที่ฟิตตลอดทาง กับคุณโบที่ตอนนี้ยังอยู่ในกลุ่ม 'ผู้นำ'อยู่ )
เนื่องจากเราใช้นโยบายเดินแบบชิลๆ ก็เลยพักมันทุกที่ที่มีจุัดพักเนี่ยแหละ จะว่าไปทริปนี้เป็นทริปที่เรื่องอาหารการกินอุดมสมบูรณ์แบบไม่น่าเชื่อ คือก่อนมานึกว่าจะต้องอดอยากกว่าเนี้ยะ แต่นี้ พักที ก็สั่งน้ำปั่นมั่ง น้ำแข็งไสมั่ง แตงโมมั้ง และที่มาแรงแซงโค้งพอๆกันคือ 'ไข่ปิ้ง' กะ 'ข้าวเหนียวปิ้ง' โดยเฉพาะไข่เนี่ย แทบจะกินกันทุกมื้อ (ถึงไม่ใช่ไข่ปิ้ง ก็ไข่เจียวมั่ง) ทั้งๆที่ความจริง แบกไข่ขึ้นมามันน่าจะยากนะ (เนอะ)
เดินไปเดินมา ในที่สุดก็ถึง 'ซำแคร่' (กรุณาดูแผนที่ประกอบ) จุดพักสุดท้ายก่อนถึงหลังแป ซึ่งเหมือนเปนจุดสตาร์ท 'ของจริง' คือ ขึ้นไปพรวดเดียว 1.3 กมกับความสูงที่ต้องไต่ขึ้นไปประมาณสามร้อยเมตรได้ พูดง่ายๆคือโคตรชันว่างั้นเหอะ มีทางขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งต้องปีนๆขึ้นไป ทั้งบันไดที่ชันพอๆกับนครวัด (ไม่รู้ลูกหาบหาบของขึ้นไปได้ไง)
แต่ว่า เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้เหนื่อยมากนะ เผลอแผล่บๆก็ ถึงซะแล้วหลังแป (เย้) คือมันถึงโดยไม่คิดว่าจะถึงแล้วจิงๆเหอะ คือทุกคนก็ อ้าว ถึงแล้วเรอะ สรุปคือ มันไม่ได้ยากกว่าที่คิดหรอก ไอ้ตอนขึ้นเนี่ย (แต่ตอนอื่นค่อยว่าอีกทีนะ 55) แน่น้อน ก็ขึ้นไปถึงตอนเที่ยง นับๆเวลาได้สี่ชั่วโมงครึ่งในการปีนขึ้นมา ก็นับว่าโอนะ เพราะเล่นพักชิลๆไปทุกๆจุดเลย แน่นอนว่าขึ้นมาถึง ต้องถ่ายรูปกับป้ายสุดคลา่สสิคที่ทุกคนต้องมี ถือเป็นชอตบังคับกันว่างั้นเหอะ ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณไอ้กี๋ ที่แบก D70 พร้อมออปชั่นครบครัน มาเป็นช่างภาพประจำทริป จบทริปนี้เลยได้รูปสวยๆไปตรึม จุใจไปข้าง
ถึงแม้จะ 'ขึ้นไปถึง'แล้ว แต่ความจริงก็คือ ขึ้นแม้จะไปถึงหลังแปแล้ว ยังต้องเดินอีก 3 กิโลน่ะสิ ตามเว็บก็เห็นเขียนกันว่า ตอนขึ้นน่ะเหนื่อย แต่ไอ้สามโลนี่ชิลๆ แต่ทำไมกูคิดว่าขึ้นน่ะชิลๆ แต่เดินเนี่ยโคตรเหนื่อยเลยวะ -_- คือไอ้สามโลเนี่ย ต้นไม้มันไม่คลุมทางเดิน ก็เลยร้อนแดดสุดๆ แถมทางยังเป็นทรายละเอียดเหมือนเดินชายหาดที่เสม็ดยังไงอย่างงั้น เพิ่มความทรหดขึ้นไปอีก ไอ้ตอนขึ้นมานี่ไม่ค่อยถามกันหรอกว่า ไมไม่ถึงสักทีวะ แต่ไอ้ตอนเดินสามโลอันเนี้ยะ บ่นตลอดเลยว่างั้นเหอะ 55 สรุปคือต้องเดินไปอีกประมาณชั่วโมง กว่าจะถึงศูนย์ก็บ่าย
ไปถึงก็รอกระเป๋า (นี่เราเดินไปถึงก่อนกระเป๋านะเฟ่ย 55) ตอนนั่งรอก็เจอพวกแพร ที่ขึ้นมากันก่อน ช่วงนี้ก็เงี้ยะแหละ เด็กจุฬาขึ้นมาตรึม ขึ้นมาก็เจอข่าวดีเลย เพราะว่าบ้านพักของพวกเรา มีเครื่องทำน้ำอุ่น(พลังแก๊ส) นั่นเอง คือความจริงมันก็มีทุกบ้านแหละ แต่ว่าก่อนมาไม่รู้ไงว่ามี อุตส่าห์ทำใจแทบตายก่อนมา ซึ่งไอ้ตอนได้อาบน้ำอุ่นเนี่ย เหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆนะเนี่ย ไม่มีคงไม่ได้อาบกันชัวร์
ส่วนบ้านพักนี่ ก็ใช้ได้เลยนะ ถึงจะไกล(มากๆ)ไปหน่อย ก็มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ มีฟูก หมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวพร้อมที่แขวน ดีกว่าที่คิดไว้เลยแหละ ยัีงไงก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้่วที่เช่าบ้าน ไม่งั้นนอนเต้นท์คงลำบากกว่านี้เยอะ แค่เอาของมากองก็คงเต็มเต้นท์แล้ว ไหนจะเรื่องห้องน้ำอะไรอีก สรุปคือคุ้มสุดๆ ไม่งั้นฟีลต่อทริปนี้อาจจะกลับตรงข้ามเลยก็ได้มั้ง (เหมือนตอนไปโฮสเทลที่นิวยอร์ก ที่พอเหนื่อยๆกลับมาต้องเจอที่พักที่ต้องมาลำบากอีก)
ถึงบ้าน จัดของเรียบร้อยปุ๊บ ก็ได้เวลานอน 55 ตื่นมาอีกทีตอนเกือบห้าโมง ตอนแรกไอ้กี๋ว่าจะฟิตไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่ไปๆมาๆก็เจอโรคขี้เกียจ เลยเดินเล่น ชาร์จแบตที่ศูนย์ อากาศดีสุดๆ (คิดถึงจัง) ตกเย็นก็สมกับชื่อ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง เพราะมีกวางมาป้วนเปี้ยนตรึม
ตกเย็นก็ซัดข้าวเย็นกันไป ต้องขอบคุณฟาร์มกะแพรที่ช่วยแนะนำวางแผนการเดินเที่ยวกัน ถ้าไม่ได้นี่ก็คงยังงงๆอยู่ว่าควรจะเดินยังไงดี
จบไปแล้วกับวันแรก คอยติดตามตอนต่อไป กับวันที่2 : ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ตระเวนเดินชมผากว่าสิบโล ^^
แล้วก็ อย่าลืมนะครับ พฤหัสนี้ อบจ จุฬา เลือกเบอร์ 1 one plus ยกทีม :D
เฮ่อ กว่าจะมาอัพก็โดนคนอื่นแย่งซีนบรรยายไปหมดและ ทั้งบล็อกไอ้ตี๋ และบล็อกไอ้คาน (รายหลังนี่บรรยายละเอียดแทบจะทุกวินาที) เพราะงั้นเลยขอฉีักรูปแบบทำเปนการ์ตูนขำๆแทนดีกว่า (ไหนๆรูปก็เยอะจนถ้าลงรูปแบบปกติคงตาลายพอๆกันอยู่แล้ว)
เอาเป็นว่า ก็เป็นอีกทริปความทรงจำดีๆ แต่คราวหน้าคงจัดกันใกล้ๆเอาที่พักดีๆกว่าแหละมั้ง รู้สึกใช้ความเป็น 'เสม็ด' ได้ไม่ค่อยคุ้มเล้ย ขลุกอยู่ในบ้านซะมากกว่า (ถ้าไม่ได้ออกไปดูปลานี่คงแย่) แต่ก็มันส์ดีนะ ยังฮาแหลกเหมือนเดิม ยังไงไปเที่ยวกับเพื่อนก็หนุกอยู่แล้ว (เหมือนที่กี้พูด เวลามีงานกิจกรรมภาคมาให้ทำ แทนที่จะขยาด แต่กลับดีใจที่จะได้มีกิจกรรมทำกับเพื่อนๆด้วยกัน ^^)
มาทริปครั้งนี้ได้เรื่องราว ข้อคิด กับคำคมไปเยอะเกินคาด ต้องชูฮกโดยเฉพาะคุณเอกรินทร์ และคุณภีรติ โดยเฉพาะรายแรก ที่พูดทีไรก็มีคำคมๆให้กรีดหู จนทั้งกูกับเบ๊นซ์กะติ๊ต้องหันมาสบตาหลายๆครั้ง ประมาณว่า ไม่ไหวแล้วววว คมเหลือเกิ๊นนน
ที่กล่าวว่า มาเสม็ด เสร็จทุกราย คงไม่ใช่แค่เสร็จยุง(ที่ตัวบะเฮก แม้จะอาบน้ำแกว่งแขนอยู่มันก็ยังเสือกมาเกาะ) แต่คราวนี้ต้งเปลือยใจ แชร์เรื่องราว ความรู้สึก จนกูรู้สึกว่ามันมีสาระจนไม่น่าเชื่อเลยแฮะ ก็ดี ได้บรรยากาศไปอีกแบบ กลับบ้านไปมีอะไรติดกับไปคิดเพียบ
อย่างไรก็ตาม ที่ตอนนี้เรารู้สึกแน่ใจมากก็คือ รู้สึกว่า... โชคดีจัง ที่ได้เข้าภาคมาเจอกับทุกๆคนที่นี่ เป็นอีกสังคมพิเศษที่ต่างคนต่างเข้ามารวมกันได้อย่างลงตัว
เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว ลงรูปเลยดีกว่า แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดบางประการ เลยลงในหน้าบล็อกได้ขนาดเท่านี้ ถ้าตัวเล็กอ่านไม่ออกก็คลิกขยายดูเอาละกันนะ หรือถ้าใครจะเอาต้นฉบับก้ขอเราได้หลังไมค์ หุหุ (แต่ขอมีตังคซื้อ external hdd ก่อนเฮอะ)
ตอนต่อไป (ไม่รู็จะว่างทำเมื่อไหร่) โปรดติดตาม 'ทริปภูกระดึง' ที่มีรูปสวยๆที่สุดในชีวิตจนไม่รู้จะเอามาลงกันยังไงดีเนี่ย รวมกล้องตอนนี้ปาเข้าไปพันห้าร้อยกว่ารูป สวยๆกันทั้งนั้น หนักใจจิงวุ้ย -_-
อ้อ ปิดท้าย ขอทำหน้าที่เพื่อนที่ดีหน่อย 8 กุมภานี้ นอกจากจะเป็นวันเกิดกูแล้ว ชาวจุฬาอย่าลืมเข้าคูหา เลือกอบจ กาเบอร์ 1 one plus ยกทีมด้วยนะครับ (กระจายข่าวบอกเพื่อนๆด้วย) ขอบคุณมาก
เอาเป็นว่า ก็เป็นอีกทริปความทรงจำดีๆ แต่คราวหน้าคงจัดกันใกล้ๆเอาที่พักดีๆกว่าแหละมั้ง รู้สึกใช้ความเป็น 'เสม็ด' ได้ไม่ค่อยคุ้มเล้ย ขลุกอยู่ในบ้านซะมากกว่า (ถ้าไม่ได้ออกไปดูปลานี่คงแย่) แต่ก็มันส์ดีนะ ยังฮาแหลกเหมือนเดิม ยังไงไปเที่ยวกับเพื่อนก็หนุกอยู่แล้ว (เหมือนที่กี้พูด เวลามีงานกิจกรรมภาคมาให้ทำ แทนที่จะขยาด แต่กลับดีใจที่จะได้มีกิจกรรมทำกับเพื่อนๆด้วยกัน ^^)
มาทริปครั้งนี้ได้เรื่องราว ข้อคิด กับคำคมไปเยอะเกินคาด ต้องชูฮกโดยเฉพาะคุณเอกรินทร์ และคุณภีรติ โดยเฉพาะรายแรก ที่พูดทีไรก็มีคำคมๆให้กรีดหู จนทั้งกูกับเบ๊นซ์กะติ๊ต้องหันมาสบตาหลายๆครั้ง ประมาณว่า ไม่ไหวแล้วววว คมเหลือเกิ๊นนน
ที่กล่าวว่า มาเสม็ด เสร็จทุกราย คงไม่ใช่แค่เสร็จยุง(ที่ตัวบะเฮก แม้จะอาบน้ำแกว่งแขนอยู่มันก็ยังเสือกมาเกาะ) แต่คราวนี้ต้งเปลือยใจ แชร์เรื่องราว ความรู้สึก จนกูรู้สึกว่ามันมีสาระจนไม่น่าเชื่อเลยแฮะ ก็ดี ได้บรรยากาศไปอีกแบบ กลับบ้านไปมีอะไรติดกับไปคิดเพียบ
อย่างไรก็ตาม ที่ตอนนี้เรารู้สึกแน่ใจมากก็คือ รู้สึกว่า... โชคดีจัง ที่ได้เข้าภาคมาเจอกับทุกๆคนที่นี่ เป็นอีกสังคมพิเศษที่ต่างคนต่างเข้ามารวมกันได้อย่างลงตัว
เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว ลงรูปเลยดีกว่า แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดบางประการ เลยลงในหน้าบล็อกได้ขนาดเท่านี้ ถ้าตัวเล็กอ่านไม่ออกก็คลิกขยายดูเอาละกันนะ หรือถ้าใครจะเอาต้นฉบับก้ขอเราได้หลังไมค์ หุหุ (แต่ขอมีตังคซื้อ external hdd ก่อนเฮอะ)
ตอนต่อไป (ไม่รู็จะว่างทำเมื่อไหร่) โปรดติดตาม 'ทริปภูกระดึง' ที่มีรูปสวยๆที่สุดในชีวิตจนไม่รู้จะเอามาลงกันยังไงดีเนี่ย รวมกล้องตอนนี้ปาเข้าไปพันห้าร้อยกว่ารูป สวยๆกันทั้งนั้น หนักใจจิงวุ้ย -_-
อ้อ ปิดท้าย ขอทำหน้าที่เพื่อนที่ดีหน่อย 8 กุมภานี้ นอกจากจะเป็นวันเกิดกูแล้ว ชาวจุฬาอย่าลืมเข้าคูหา เลือกอบจ กาเบอร์ 1 one plus ยกทีมด้วยนะครับ (กระจายข่าวบอกเพื่อนๆด้วย) ขอบคุณมาก
ยาวจริง
เป็นไตรภาคแข่งกะสตาร์วอร์เลยดิ
อิอิ
สอบเสร็จแล้วเรอะ
แหม เดินนิดเดินหน่อยทำบ่น
วันหลังขึ้นภูแข่งกันมั้ยจ๊ะ??
(เรายังอยากขึ้นภูกระดึงหน้าร้อนอยู่นะ)