กลับมาแล้วจากเสม็ด แม้จะมีอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามที่แพลนไว้บ้าง... แต่แค่อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ ยัีงไงก็สนุกอยู่แล้วแหละ ^^
(คำเตือน : บล็อกนี้ ทั้งรูป ทั้งวีดีโอ ทั้งเรื่อง ยาวโคตรๆ อย่าเพิ่งเบื่อ ค่อยๆอ่านไปละกัน นะ นะ... อย่าลืมเม้นท์ด้วย)
ในที่สุด วันที่หลายๆคนรอคอยก็มาถึง กับ IE TRIP ที่จัดกะให้สลายความเครียดจากการสอบเต็มที่ คือจัดหลังสอบอาทิตย์เดียวไปเลย ผลก็คือ... ได้ผลเกินคาด น้องปีสองยกขโยงมาเจ็ดสิบ ปีเราอีกห้าสิบ ปีสี่อีกสี่สิบ นับรวมได้ 160 กว่าหัว เยอะที่สุดในบรรดาทุกทริป (มหาลัย) ทีไปมา
จะนับว่า ประสบความสำเร็จเกินไปก็ได้มั้ง ปีที่แล้วนี่ปีสอง(รุ่นเรานั่นแหละ) ไปกันแค่สิบกว่าคน แต่ไอ้ความสำเร็จเนี่ยแหละ ทำเอาพวกเราซีดกันเป็นแถวๆ เพราะงานนี้ ปีสามเป็นโต้โผนี่หว่า งบบานปลายสุดๆ อย่างเรื่องรถ แทนที่นั่งรถคันสองคันไป ต้องเรียกรถเพิ่มมาเป็นสามคันแทน
ระหว่างรอรถก็ หนีไม่พ้นวงไพ่นั่นแหละ แต่ที่ดูมาแรงสุด ไม่ใช่ไพ่กินตัง แต่กลับเปน ไพ่หมอดูแมค(โนเลีย) ที่ตีความได้บทกระจุยมากๆ จนเล่นเอาคู่เหมียว(ฉายาใหม่ เด๋วเล่าที่มาทีหลัง)กระเจิงไปนิดสๆ์
กว่ารถจะมาได้ก็ห้าทุ่ม ขับช้าๆแบบปลอดภัยไว้ก่อนไป กว่าจะถึงก็ตีสามครึ่งโน่นนน ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือ ระหว่างการเดินทางสี่ชั่วโมงครึ่งนั้น ไอ้อุ้ยกะไอ้เกท มันเม้าท์ได้ตลอดซีนการเดินทาง (โดยมีไอ้กี้ฟังและร่วมแจมอยู่ตลอด) กระทั่งถึงที่พักแล้วเข้านอน อีสองตัวนี้ก็ยังไม่เลิกแ์ฉยันเช้า (เม้าท์ทุกเรื่อง ตั้งแต่ gossip จน ญ แท้ๆได้ฟังยังต้องส่ายหน้าเม้าท์เรื่องผี เม้าท์เรื่องอาจารย์ แม้กระทั่งเม้าท์เรื่องการเจริญสติภาวนา - โดยมีคุณเอก คุณกลด และคุณหมูให้ความรู้.... อนุโมทนาด้วยคน)
และไอ้ด้วยการที่ไปร้อยหกสิบกว่าคนเนี่ยแหละ สังขบีชรีสอร์ท ที่สุดจะมีห้องพักเหลือเฟือตอนไปทริปกรุ๊ปเอปีที่แล้ว (แปดสิบกว่าคน) ก็เลยโคตรจะแคบไปถนัดตา ปีสามได้บ้านไปสามหลัง แบ่งให้ ญ1 ช2 แค่บ้านเรานี่ก็ปาเข้าไปหลัีงเดียว 19 คน (ห้องน้ำหนึ่ง) ยัดกันสุดๆไปเลยว่ะ ยังดีที่ยังมีห้องน้ำรวมส่วนกลางอีกห้องนึง
แต่ไอ้ความคับแคบมันไม่หยุดแค่นี้อะดิ เพราะบ้านหลังเรากลายเปนศูนย์รวมของปีสามไปซะแล้ว เช้ามาแก๊งผู้หญิงก็บุกมาถล่มตั้งวงเล่นไพ่ เล่น magic quest, uno stacko รวมไปถึงการระดมพลประชุม (ที่ยัดเข้าไปในห้องนอนเล็กๆกว่าสี่สิบคน)
และแล้วคืนแรกก็ผ่านไปโดยไม่ได้นอน คืออีตอนแรกก็กะจะนอนอะนะ แต่มันไม่หลับเพราะพี่ปีสี่เค้าตั้งวงร้องเพลงข้างๆบ้าน เสียงมันก็เข้ามา เลยออกไปเล่นไพ่แทน ผลก็ เสียหายยับเยินครับ งานนี้ -_- ไม่น่าเลยกู ก็ฝืนสังขารจนเจ็ดโมง กินข้าวเช้า แล้วก็รีบมุดรูเข้านอน นอนไปได้สักพัก ได้ยินเสียงกุกกัก อ่อออ ไอ้แมคนั่นเอง ลูกค้ามารอคิวดูหมอตั้งแต่เช้า (แล้วก็เห็นมันมีคิวมาดูเรื่อยๆยันบ่าย) สุดท้ายก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความจำใจ
แป๊บเดียวก็ได้เวลาอาหารเที่ยงอีกและ อาหารรสชาติยังจืดชืดแทบกินไม่ลงเหมือนเคย ซึ่งเหมือนจะเปนกลยุทธ์คล้ายๆอาหารกลางวันโรงเรียนรึเปล่าก็ไม่ทราบ คือกองทัพรถเข็น ขายไอติม ขายเครป ขายส้มตำไก่ทอดก็มาบุก แน่นอนว่าได้ตังค์พวกเราไปหลาย
หลังจากฟาดไอติมกันเกลี้ยง ก็ได้เวลาเข้า WAR ROOM ประชุมคิดกิจกรรมกัน ผลคือทำกิจกรรมฐาน 4 ฐาน แบ่งให้ปีสี่ไปฐานนึง ส่วนปีสาม มีสามอัน อันแรกไปลงเล่นบอลในทะเล อีกอันเปนเกมคล้ายๆเกมโซน และอันสุดท้ายคือจับคู่ Verb, Adv แล้วเล่นละครตาม (ซึ่งเตรียมคำและฉลากไว้แล้วตั้งแต่ก่อนมา)
ไอ้เราก็ไปช่วยไอ้กี้ทำเกมโซนแบบชิลๆ แต่ส่วนมากแทบไม่ได้ไปยุ่งไรเลยมากกว่า 55 แต่ที่มันส์ที่สุดคือไอ้ฐานจับคำเนี่ยแหละ ฮาแบบว่า ฮาโคตรๆ ครีเอทสุดๆ เสียดายที่โยนกล้องไปให้แจนถ่ายช้าไปหน่อย แต่ชอตที่ประทับใจที่สุดคือโจทย์ที่จับฉลากได้คำว่า 'อ่อยอย่างสวยงาม' ซึ่งได้ไอ้น้องผู้ชายคนนึง มันทำไงรุ้มั้ยครับ มันลงไปที่ทะเล แล้วมันก็นั่งคุกเข่า หัวจุ่มน้ำ แล้วสะบัดขึ้นมาจากน้ำแบบทาทา (สะบัดขึ้นมาตรงๆใ้ห้ผมที่คลุมหน้าตอนแรกเหวี่ยงไปด้านหลังน่ะ) ก่อนที่จะแอ่นตัวขึ้นแล้วเอามือลูบซิคแพคของแม่ง ตั้งแต่อกลงไปถึงสะดือ ไปพร้อมหน้าที่ได้ฟีลสุดๆ แล้วค่อยๆคลานเลื้อยขึ้นมา (แบบทาทาอีก) จนถึงหาด เรียกเสียงกรี๊ดจากเพื่อนๆพี่ๆ (โดยเฉพาะพี่ผู้หญิง)ได้อย่างแรง สวยงามเบ็ดเสร็จจริงๆน้อง
มีอีกอันที่ครีเอทจนต้องยกนิ้วให้ คือคำว่า 'แหกอย่างสิ้นเชิง' โจทย์นี้น้องผู้หญิงได้ไป ตอนแรกก็เสียวแล้วว่ามันจะทำไงว้า ปรากฏว่า น้องแก เอาไม้มาขีดทรายสองเส้น เป็นเส้นโค้งครับ แล้วน้องกะเพื่อนแกก็ทำเสียง แอ๋นนนนนนนน แอ๋นนนนนนนนนนนนนนน (แบบมอไซค์ซิ่ง) วิ่งเข้าไปในโค้่ง แล้วก็ แหกโค้ง ลงไปกลิ้งๆขลุกๆ โดยสิ้นเชิง นั่นเอง
ส่วนคำอื่นๆที่ฮาพอๆกัน ก็โหลดวีดีโอดูละกัน ขอรับประกันว่าฮาสุดๆ ไม่ดูไม่ได้
พอเกมจบ ฟรีไทม์ ก็ได้เวลาเล่นอะไรติ๊งต๊องๆตามประสาเด็กไออี ไม่ว่าจะเป็นเล่นจานร่อน ซึ่งเล่นไปสักพักก็มีคนแยกไปเล่นบานาน่าโบ๊ท ส่วนไอ้เราก็เลื้อยขึ้นบกมาเล่น 'แปะแข็ง' กะพี่ๆปีสี่กันต่อ คือ ทุกคนคงจำได้ใช่มั้ยครับว่าตอนเด็กๆนี่เล่นแปะแข็งกันเปนชั่วโมง แต่ไอ้นี่ เล่นไปได้สิบกว่านาทีนี่เหนื่อยแทบคลาน ไม่รู้เพราะอะไร แต่ที่รู้แน่ๆคือมันวุ่นมากอย่างกะการ์ตูนไร้สมองที่เห็นได้ทั่วไป เอาเปนว่า มันเล่นกันยี่สิบกว่าคน แล้วมันวิ่งกันวุ่นไปหมด ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนแปะ แล้วคือเจอใครมันก็'คลาย' ให้กันหมด คือวิ่งอยู่ดีๆคนก็ยังมาแปะแล้วบอกคลายนั่นแหละ เหนื่อยสัดๆ จนบางครั้งนี่แอบแกล้งยืนแข็ง (ทั้งๆที่ไม่แข็ง) เพราะขี้เกียจวิ่งแล้วว่ะ 555 เกมส์นี้ฮามาก คนดูมันยังขำเลยมั้ง เพราะมั่วกันอย่างแรง สุดท้ายก็หยุดเล่นกันโดยอัตโนมัติ เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งฮาจนวิ่งต่อไม่ไหว +_+
เมื่อเห็นว่าแปะแข็งมันไม่รอด พี่แกเลยเสนอให้เล่นเกมส์ใหม่คือ ตี่จับ แทน ซึ่งตี่จับเวอชั่นเด็กมหาลัยปีสองพันหกนี่ กว่าจะเถียงกติกาจนได้ข้อตกลงกันนี่ก็เล่นเอาฮากันสุดๆ แถมเล่นไปก็งงๆ ต้องตกลงกติกากันตลอด คือเข้าใจมะว่าสมัยเด็กๆเนี่ย แรงมันก็น้อยพอๆกัน แต่ไอ้ตอนนี้เนี่ย ไอ้คนเข้าไปเปนตี่นี่ เหมือนเข้าสู่แดนประหารให้เค้ารุมทึ้่งว่างั้นเหอะ (ภาพมันเปนอย่างงั้นจริงๆ) ฮาโคตรๆ และแน่น้อน ว่าเกมส์นี้ 'ไม่รอด' ตามระเบียบเช่นเดียวกัน
ช่วงเย็น ความฮายังมาได้อีก เพราะตอนบ่ายระหว่างเล่นกิจกรรมฐาน ก็มีการแจกโจทย์ละครให้น้องๆแต่ละกลุ่ม โดย assign ตัวละคร theme เรื่อง เพลงบังคับไปให้ ซึ่งขอบอกว่าหลายๆคนได้บทที่เหมือนโคตรๆ ไม่ว่าจะเปนอาจาร์ยยิ่งศักดิ์ ตูนบอดี้แสลม ในขณะที่บางคนได้บทที่เป็นกูก็กลุ้มแทน เช่น สายชำระ โรลออน เป็นต้น
กลุ่มที่เจ๋งสุดๆที่ได้ไป เป็นกลุ่มที่บังเอิญได้บทเปนดารากันเยอะ คิดเรื่องออกมาเป็นเรื่อง 'Death Fan พัดลมมรณะ' เรื่องราวประมาณว่า ตูน Bodyslam เก็บพัดลมมรณะที่ยมฑูตลุคทำตกมาที่โลกมนุษย์ โดยเมื่อกดปุ่มเป่าใครก็ตาม ไรฝุ่น (มันยังอุตส่าห์หาบทให้ไรฝุ่น กับพัดลมได้) เรื่องนี้ทำออกมาฮาแบบสุดๆแล้วว่ะ ยกนิ้วให้ น้องที่เล่นบทเป็นเจ๊ดานี่ตีบทแตกจริงๆ ถ่ายวีดีโอมาเหมือนกันแต่มันมืดดูไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยไม่ได้อัพขึ้นมาอะนะ
และแล้วก็ผ่านคืนนั้นไปด้วยอาการมึนนิดส์ๆกะวอดก้าของไอ้เปรม นั่งเล่นไพ่ นั่งคุยจนสักตีสองครึ่งนี่แทบจะโงหัวไม่ขึ้นแล้ว(ด้วยความง่วง) เลยเข้าไปมุดรูนอน ตื่นขึ้นมาก็เกือบเที่ยงแล้ว ก่อนกลับก็ซัดปลาหมึกรถเข็นที่โคตรจะสดและอร่อยไปหลายจาน (คิดถึงจัง) และปิดท้ายด้วยการจับฉลากของขวัญราคาไม่เกินร้อย ที่แอบมีเรื่องฮาๆเช่น เตยผู้น่าสงสาร จับได้ของขวัญเป็นผ้าอ้อมผู้ใหญ่ที่ไอ้อุ้ยเอามา ซึ่งมันจับได้ FHM พร้อมปฏิทินไปซะงั้น แต่ที่น่าฮาพอกันก็คือ ไอ้คนที่เอา FHM มา จับได้ปฏิทินลีโอซะงั้นอะ 55
ขากลับ ก็มีเรื่องฮาๆ เล่นคิลเลอร์ ซึ่งเล่นไปเล่นมา ไอ้เป้งซัดไอ้ปลายว่ามันเป็นคนฆ่าไอ้ปอง ซัดไปซัดมายังไงไม่ทราบ ไอ้ปายถึงกับหลุดประโยคเด็ดมาว่า 'กูยอมเป็นเหมียวให้ก็ได้' เท่านั้นแหละ ฉายา เหมียวปาย (ของปอง) ก็ติดลมบนฮิตกันทั้งภาค (กูเสียใจกับมึงด้วยจิงๆว่ะ ...เมี๊ยยววว 55) นอกจากนั้นยังมีที่มาของอีกฉายา 'ฟามยอดชาย' ที่คงจะอธิบา่ยกันในบล็อกไม่ได้ หรือประโยคเด็ดของพี่ล่ำ(เกิ๊น)กลด ซึ่งอยู่ดีๆก็โพล่งออกมากลางห้องนอนที่เงียบสงัด(ที่กูไม่ได้อยู่ตอนนั้น)ว่า 'ฟาม... แข็งปะ?' ที่เล่นเอาคนทั้งห้องถึงกับสะดุ้ง
(กลดมันหมายถึงเตียงแข็งรึเปล่าน่ะ - -")
ก็ถือเป็นอีกทริปที่สนุกมากๆ มีเรื่องต๊องๆกลับมาให้พูดกันอีกเป็นขโยง เสียดายจังที่เพื่อนๆภาคเพิ่งจะมาสนิท(แบบเชื่อมหลายๆกลุ่ม) กันไม่นานนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณเอกที่ทำงานหนักโคตรๆ เครียดทั้งวันไปและวันกลับ กว่าจะเคลียร์ให้เรื่องต่างๆผ่านไปด้วยดีได้ ขอบคุณแอร์ และทีมสี่สาวที่ช่วยเก็บตังจนมากันได้ด้วยนะ ^^
ไหนๆบล็อกนี้ก็โคตรยาวและ ขอแทรกภาพOpen House IE อีกนิดส์นึง ที่พวกเราอุตส่าห์ฃ่วยกันทำบูทที่สวยงาม น่ารัก ติ๊งต๊องเหมือนบูธโรงเรียนอนุบาลที่สุดในงาน (คิดเอาละกัน บูธภาคอื่นๆนี่โคตรวิชาการ ส่วนบูธภาคเราก็เด่นติ๊งต๊องอย่างที่เห็นในรูปอยู่ภาคเดียวนั่นแหละ)
ในที่สุด วันที่หลายๆคนรอคอยก็มาถึง กับ IE TRIP ที่จัดกะให้สลายความเครียดจากการสอบเต็มที่ คือจัดหลังสอบอาทิตย์เดียวไปเลย ผลก็คือ... ได้ผลเกินคาด น้องปีสองยกขโยงมาเจ็ดสิบ ปีเราอีกห้าสิบ ปีสี่อีกสี่สิบ นับรวมได้ 160 กว่าหัว เยอะที่สุดในบรรดาทุกทริป (มหาลัย) ทีไปมา
จะนับว่า ประสบความสำเร็จเกินไปก็ได้มั้ง ปีที่แล้วนี่ปีสอง(รุ่นเรานั่นแหละ) ไปกันแค่สิบกว่าคน แต่ไอ้ความสำเร็จเนี่ยแหละ ทำเอาพวกเราซีดกันเป็นแถวๆ เพราะงานนี้ ปีสามเป็นโต้โผนี่หว่า งบบานปลายสุดๆ อย่างเรื่องรถ แทนที่นั่งรถคันสองคันไป ต้องเรียกรถเพิ่มมาเป็นสามคันแทน
ระหว่างรอรถก็ หนีไม่พ้นวงไพ่นั่นแหละ แต่ที่ดูมาแรงสุด ไม่ใช่ไพ่กินตัง แต่กลับเปน ไพ่หมอดูแมค(โนเลีย) ที่ตีความได้บทกระจุยมากๆ จนเล่นเอาคู่เหมียว(ฉายาใหม่ เด๋วเล่าที่มาทีหลัง)กระเจิงไปนิดสๆ์
กว่ารถจะมาได้ก็ห้าทุ่ม ขับช้าๆแบบปลอดภัยไว้ก่อนไป กว่าจะถึงก็ตีสามครึ่งโน่นนน ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือ ระหว่างการเดินทางสี่ชั่วโมงครึ่งนั้น ไอ้อุ้ยกะไอ้เกท มันเม้าท์ได้ตลอดซีนการเดินทาง (โดยมีไอ้กี้ฟังและร่วมแจมอยู่ตลอด) กระทั่งถึงที่พักแล้วเข้านอน อีสองตัวนี้ก็ยังไม่เลิกแ์ฉยันเช้า (เม้าท์ทุกเรื่อง ตั้งแต่ gossip จน ญ แท้ๆได้ฟังยังต้องส่ายหน้าเม้าท์เรื่องผี เม้าท์เรื่องอาจารย์ แม้กระทั่งเม้าท์เรื่องการเจริญสติภาวนา - โดยมีคุณเอก คุณกลด และคุณหมูให้ความรู้.... อนุโมทนาด้วยคน)
และไอ้ด้วยการที่ไปร้อยหกสิบกว่าคนเนี่ยแหละ สังขบีชรีสอร์ท ที่สุดจะมีห้องพักเหลือเฟือตอนไปทริปกรุ๊ปเอปีที่แล้ว (แปดสิบกว่าคน) ก็เลยโคตรจะแคบไปถนัดตา ปีสามได้บ้านไปสามหลัง แบ่งให้ ญ1 ช2 แค่บ้านเรานี่ก็ปาเข้าไปหลัีงเดียว 19 คน (ห้องน้ำหนึ่ง) ยัดกันสุดๆไปเลยว่ะ ยังดีที่ยังมีห้องน้ำรวมส่วนกลางอีกห้องนึง
แต่ไอ้ความคับแคบมันไม่หยุดแค่นี้อะดิ เพราะบ้านหลังเรากลายเปนศูนย์รวมของปีสามไปซะแล้ว เช้ามาแก๊งผู้หญิงก็บุกมาถล่มตั้งวงเล่นไพ่ เล่น magic quest, uno stacko รวมไปถึงการระดมพลประชุม (ที่ยัดเข้าไปในห้องนอนเล็กๆกว่าสี่สิบคน)
และแล้วคืนแรกก็ผ่านไปโดยไม่ได้นอน คืออีตอนแรกก็กะจะนอนอะนะ แต่มันไม่หลับเพราะพี่ปีสี่เค้าตั้งวงร้องเพลงข้างๆบ้าน เสียงมันก็เข้ามา เลยออกไปเล่นไพ่แทน ผลก็ เสียหายยับเยินครับ งานนี้ -_- ไม่น่าเลยกู ก็ฝืนสังขารจนเจ็ดโมง กินข้าวเช้า แล้วก็รีบมุดรูเข้านอน นอนไปได้สักพัก ได้ยินเสียงกุกกัก อ่อออ ไอ้แมคนั่นเอง ลูกค้ามารอคิวดูหมอตั้งแต่เช้า (แล้วก็เห็นมันมีคิวมาดูเรื่อยๆยันบ่าย) สุดท้ายก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความจำใจ
แป๊บเดียวก็ได้เวลาอาหารเที่ยงอีกและ อาหารรสชาติยังจืดชืดแทบกินไม่ลงเหมือนเคย ซึ่งเหมือนจะเปนกลยุทธ์คล้ายๆอาหารกลางวันโรงเรียนรึเปล่าก็ไม่ทราบ คือกองทัพรถเข็น ขายไอติม ขายเครป ขายส้มตำไก่ทอดก็มาบุก แน่นอนว่าได้ตังค์พวกเราไปหลาย
หลังจากฟาดไอติมกันเกลี้ยง ก็ได้เวลาเข้า WAR ROOM ประชุมคิดกิจกรรมกัน ผลคือทำกิจกรรมฐาน 4 ฐาน แบ่งให้ปีสี่ไปฐานนึง ส่วนปีสาม มีสามอัน อันแรกไปลงเล่นบอลในทะเล อีกอันเปนเกมคล้ายๆเกมโซน และอันสุดท้ายคือจับคู่ Verb, Adv แล้วเล่นละครตาม (ซึ่งเตรียมคำและฉลากไว้แล้วตั้งแต่ก่อนมา)
ไอ้เราก็ไปช่วยไอ้กี้ทำเกมโซนแบบชิลๆ แต่ส่วนมากแทบไม่ได้ไปยุ่งไรเลยมากกว่า 55 แต่ที่มันส์ที่สุดคือไอ้ฐานจับคำเนี่ยแหละ ฮาแบบว่า ฮาโคตรๆ ครีเอทสุดๆ เสียดายที่โยนกล้องไปให้แจนถ่ายช้าไปหน่อย แต่ชอตที่ประทับใจที่สุดคือโจทย์ที่จับฉลากได้คำว่า 'อ่อยอย่างสวยงาม' ซึ่งได้ไอ้น้องผู้ชายคนนึง มันทำไงรุ้มั้ยครับ มันลงไปที่ทะเล แล้วมันก็นั่งคุกเข่า หัวจุ่มน้ำ แล้วสะบัดขึ้นมาจากน้ำแบบทาทา (สะบัดขึ้นมาตรงๆใ้ห้ผมที่คลุมหน้าตอนแรกเหวี่ยงไปด้านหลังน่ะ) ก่อนที่จะแอ่นตัวขึ้นแล้วเอามือลูบซิคแพคของแม่ง ตั้งแต่อกลงไปถึงสะดือ ไปพร้อมหน้าที่ได้ฟีลสุดๆ แล้วค่อยๆคลานเลื้อยขึ้นมา (แบบทาทาอีก) จนถึงหาด เรียกเสียงกรี๊ดจากเพื่อนๆพี่ๆ (โดยเฉพาะพี่ผู้หญิง)ได้อย่างแรง สวยงามเบ็ดเสร็จจริงๆน้อง
มีอีกอันที่ครีเอทจนต้องยกนิ้วให้ คือคำว่า 'แหกอย่างสิ้นเชิง' โจทย์นี้น้องผู้หญิงได้ไป ตอนแรกก็เสียวแล้วว่ามันจะทำไงว้า ปรากฏว่า น้องแก เอาไม้มาขีดทรายสองเส้น เป็นเส้นโค้งครับ แล้วน้องกะเพื่อนแกก็ทำเสียง แอ๋นนนนนนนน แอ๋นนนนนนนนนนนนนนน (แบบมอไซค์ซิ่ง) วิ่งเข้าไปในโค้่ง แล้วก็ แหกโค้ง ลงไปกลิ้งๆขลุกๆ โดยสิ้นเชิง นั่นเอง
ส่วนคำอื่นๆที่ฮาพอๆกัน ก็โหลดวีดีโอดูละกัน ขอรับประกันว่าฮาสุดๆ ไม่ดูไม่ได้
พอเกมจบ ฟรีไทม์ ก็ได้เวลาเล่นอะไรติ๊งต๊องๆตามประสาเด็กไออี ไม่ว่าจะเป็นเล่นจานร่อน ซึ่งเล่นไปสักพักก็มีคนแยกไปเล่นบานาน่าโบ๊ท ส่วนไอ้เราก็เลื้อยขึ้นบกมาเล่น 'แปะแข็ง' กะพี่ๆปีสี่กันต่อ คือ ทุกคนคงจำได้ใช่มั้ยครับว่าตอนเด็กๆนี่เล่นแปะแข็งกันเปนชั่วโมง แต่ไอ้นี่ เล่นไปได้สิบกว่านาทีนี่เหนื่อยแทบคลาน ไม่รู้เพราะอะไร แต่ที่รู้แน่ๆคือมันวุ่นมากอย่างกะการ์ตูนไร้สมองที่เห็นได้ทั่วไป เอาเปนว่า มันเล่นกันยี่สิบกว่าคน แล้วมันวิ่งกันวุ่นไปหมด ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนแปะ แล้วคือเจอใครมันก็'คลาย' ให้กันหมด คือวิ่งอยู่ดีๆคนก็ยังมาแปะแล้วบอกคลายนั่นแหละ เหนื่อยสัดๆ จนบางครั้งนี่แอบแกล้งยืนแข็ง (ทั้งๆที่ไม่แข็ง) เพราะขี้เกียจวิ่งแล้วว่ะ 555 เกมส์นี้ฮามาก คนดูมันยังขำเลยมั้ง เพราะมั่วกันอย่างแรง สุดท้ายก็หยุดเล่นกันโดยอัตโนมัติ เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งฮาจนวิ่งต่อไม่ไหว +_+
เมื่อเห็นว่าแปะแข็งมันไม่รอด พี่แกเลยเสนอให้เล่นเกมส์ใหม่คือ ตี่จับ แทน ซึ่งตี่จับเวอชั่นเด็กมหาลัยปีสองพันหกนี่ กว่าจะเถียงกติกาจนได้ข้อตกลงกันนี่ก็เล่นเอาฮากันสุดๆ แถมเล่นไปก็งงๆ ต้องตกลงกติกากันตลอด คือเข้าใจมะว่าสมัยเด็กๆเนี่ย แรงมันก็น้อยพอๆกัน แต่ไอ้ตอนนี้เนี่ย ไอ้คนเข้าไปเปนตี่นี่ เหมือนเข้าสู่แดนประหารให้เค้ารุมทึ้่งว่างั้นเหอะ (ภาพมันเปนอย่างงั้นจริงๆ) ฮาโคตรๆ และแน่น้อน ว่าเกมส์นี้ 'ไม่รอด' ตามระเบียบเช่นเดียวกัน
ช่วงเย็น ความฮายังมาได้อีก เพราะตอนบ่ายระหว่างเล่นกิจกรรมฐาน ก็มีการแจกโจทย์ละครให้น้องๆแต่ละกลุ่ม โดย assign ตัวละคร theme เรื่อง เพลงบังคับไปให้ ซึ่งขอบอกว่าหลายๆคนได้บทที่เหมือนโคตรๆ ไม่ว่าจะเปนอาจาร์ยยิ่งศักดิ์ ตูนบอดี้แสลม ในขณะที่บางคนได้บทที่เป็นกูก็กลุ้มแทน เช่น สายชำระ โรลออน เป็นต้น
กลุ่มที่เจ๋งสุดๆที่ได้ไป เป็นกลุ่มที่บังเอิญได้บทเปนดารากันเยอะ คิดเรื่องออกมาเป็นเรื่อง 'Death Fan พัดลมมรณะ' เรื่องราวประมาณว่า ตูน Bodyslam เก็บพัดลมมรณะที่ยมฑูตลุคทำตกมาที่โลกมนุษย์ โดยเมื่อกดปุ่มเป่าใครก็ตาม ไรฝุ่น (มันยังอุตส่าห์หาบทให้ไรฝุ่น กับพัดลมได้) เรื่องนี้ทำออกมาฮาแบบสุดๆแล้วว่ะ ยกนิ้วให้ น้องที่เล่นบทเป็นเจ๊ดานี่ตีบทแตกจริงๆ ถ่ายวีดีโอมาเหมือนกันแต่มันมืดดูไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยไม่ได้อัพขึ้นมาอะนะ
และแล้วก็ผ่านคืนนั้นไปด้วยอาการมึนนิดส์ๆกะวอดก้าของไอ้เปรม นั่งเล่นไพ่ นั่งคุยจนสักตีสองครึ่งนี่แทบจะโงหัวไม่ขึ้นแล้ว(ด้วยความง่วง) เลยเข้าไปมุดรูนอน ตื่นขึ้นมาก็เกือบเที่ยงแล้ว ก่อนกลับก็ซัดปลาหมึกรถเข็นที่โคตรจะสดและอร่อยไปหลายจาน (คิดถึงจัง) และปิดท้ายด้วยการจับฉลากของขวัญราคาไม่เกินร้อย ที่แอบมีเรื่องฮาๆเช่น เตยผู้น่าสงสาร จับได้ของขวัญเป็นผ้าอ้อมผู้ใหญ่ที่ไอ้อุ้ยเอามา ซึ่งมันจับได้ FHM พร้อมปฏิทินไปซะงั้น แต่ที่น่าฮาพอกันก็คือ ไอ้คนที่เอา FHM มา จับได้ปฏิทินลีโอซะงั้นอะ 55
ขากลับ ก็มีเรื่องฮาๆ เล่นคิลเลอร์ ซึ่งเล่นไปเล่นมา ไอ้เป้งซัดไอ้ปลายว่ามันเป็นคนฆ่าไอ้ปอง ซัดไปซัดมายังไงไม่ทราบ ไอ้ปายถึงกับหลุดประโยคเด็ดมาว่า 'กูยอมเป็นเหมียวให้ก็ได้' เท่านั้นแหละ ฉายา เหมียวปาย (ของปอง) ก็ติดลมบนฮิตกันทั้งภาค (กูเสียใจกับมึงด้วยจิงๆว่ะ ...เมี๊ยยววว 55) นอกจากนั้นยังมีที่มาของอีกฉายา 'ฟามยอดชาย' ที่คงจะอธิบา่ยกันในบล็อกไม่ได้ หรือประโยคเด็ดของพี่ล่ำ(เกิ๊น)กลด ซึ่งอยู่ดีๆก็โพล่งออกมากลางห้องนอนที่เงียบสงัด(ที่กูไม่ได้อยู่ตอนนั้น)ว่า 'ฟาม... แข็งปะ?' ที่เล่นเอาคนทั้งห้องถึงกับสะดุ้ง
(กลดมันหมายถึงเตียงแข็งรึเปล่าน่ะ - -")
ก็ถือเป็นอีกทริปที่สนุกมากๆ มีเรื่องต๊องๆกลับมาให้พูดกันอีกเป็นขโยง เสียดายจังที่เพื่อนๆภาคเพิ่งจะมาสนิท(แบบเชื่อมหลายๆกลุ่ม) กันไม่นานนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณเอกที่ทำงานหนักโคตรๆ เครียดทั้งวันไปและวันกลับ กว่าจะเคลียร์ให้เรื่องต่างๆผ่านไปด้วยดีได้ ขอบคุณแอร์ และทีมสี่สาวที่ช่วยเก็บตังจนมากันได้ด้วยนะ ^^
ไหนๆบล็อกนี้ก็โคตรยาวและ ขอแทรกภาพOpen House IE อีกนิดส์นึง ที่พวกเราอุตส่าห์ฃ่วยกันทำบูทที่สวยงาม น่ารัก ติ๊งต๊องเหมือนบูธโรงเรียนอนุบาลที่สุดในงาน (คิดเอาละกัน บูธภาคอื่นๆนี่โคตรวิชาการ ส่วนบูธภาคเราก็เด่นติ๊งต๊องอย่างที่เห็นในรูปอยู่ภาคเดียวนั่นแหละ)
(ความเดิมจากตอนก่อนหน้า)
หลังจากที่ได้ตื่นตาตื่นใจ หลงไปอยู่ในแดนมหัศจรรย์ นครวัด นครธม เมื่อวันก่อน วันนี้ก็ต้องตื่นมาพบความจริงอีกครั้ง เมื่อต้องเดินทางกลับพนมเปญ โดยตอนเช้าไปเที่ยวโตนทะเลสาบก่อน
ยังไงก็รู้สึกน่าเบื่อสุดๆ โดยเฉพาะกับการเดินทาง ที่แม้ระยะทางจะสั้นๆไม่กี่โล ก็ต้องเสียเวลานานเป็นชั่วโมงๆ.
ขากลับจากเสียมเรียบไปพนมเปญคราวนี้ ก็ต้องนั่งรถอีกเจ็ดชั่วโมงตามเคย ซึ่งนี่เป็นสภาพความเป็นจริง ของระบบสาธรณูปโภคของที่นี่ ซึ่งต้องบอกว่า ยังต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกเยอะ ไม่ใช่แค่เรื่องถนนหนทางเท่านั้น ไฟฟ้าก็ยังติดๆดับๆ โรงแรมทุกทีแน่นอนว่าต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองใช้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือที่นี่ต้องปั่นไฟจากน้ำมันเท่านั้น ค่าไฟยูนิตนึงนี่แพงกว่าบ้านเรามาก ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องยอมรับจริงๆว่าค่าครองชีพที่นี่ สูงกว่าที่ไทยเยอะ ในขณะที่ผู้คนส่วนมากของประเทศ มีรายได้ต่ำกว่าเราทั้งนั้น
ขากลับเข้าพนมเปญ ถ้าสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า มีร่องรอยของความเจริญเมื่อครั้งฝรั่งเศสเข้ายึดครองอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นสนามบอลขนาดใหญ่ที่สร้างมาก่อนสนามศุภฯ หรือโรงเรียนที่กระจัดกระจายเต็มเมืองไปหมด (แน่นอนว่าสร้างช่วงฝรั่งเศสครอง) ล้วนเป็นร่องรอยที่บ่งบอกถึงความเจริญว่า พนมเปญสมัยนั้น น่าจะเจริญกว่ากรุงเทพด้วยซ้ำไป
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้พังทลายไปสิ้น เมื่อเขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ...
ขากลับ เราได้แวะคุกโตสะเล (ดูรูปบน) ซึ่งเดิมทีก็เป็นโรงเรียน แต่ได้รับการดัดแปลงเป็นคุก ถึงแม้ปัจจุบัน จะได้เคลียร์สถานที่ให้เข้าชมได้แล้ว แต่ร่องรอยแห่งความหดหู่ยังเต็มโรงเรียนแห่งนี้อยู่
แทบไม่น่าเชื่อว่าโรงเรียนธรรมดาๆโรงเรียนหนึ่ง จะถูกน้ำมือของมนุษย์กระทำได้ถึงขนาดนี้...
เครื่องเล่นออกกำลังกายขนาดใหญ่ ถูกรื้อออกเหมือนเหลือโครงสร้างเหมือนโครงโหนบาร์ ดัดแปลงเป็นเครื่องทรมานนักโทษผูกข้อเท้า ดึงร่างขึ้นไปสูง แล้วปล่อยลงมาให้หัวจมถังน้ำเน่า... ห้องเรียนถูกซอยย่อยเป็นคุกเล็กๆที่แทบจะไม่มีที่จะนั่ง... ภาพเชลยที่ถูกถ่ายไว้ก่อนเข้าคุกที่นี่ ทำให้รู้สึกหดหู่เป็นอย่างที่สุด
เขมรแดงได้ต้อนผู้คนออกจากเมืองไปหมด ด้วยการประกาศข่าวลือว่าอเมริกาจะมาทิ้งบอมบ์ที่นี่ จากนั้น ปัญญาชนทั้งหลาย ครู พ่อค้าแม่ค้า ดารา ถ้าไม่ถูกจับเข้าคุก (ฐานมีอภิสิทธิ์) ก็ต้องถูกผลักไสให้ไปทำนา ส่วนพวกชาวนา ก็เอาเข้ามาอยู่ในเมือง นี่เป็นแนวคิดที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และทำให้ประเทศเขมรต้องสูญสิ้นทุกอย่างที่ได้สร้างมา ขาดผู้เชี่ยวชาญในทุกๆแขนง ในการที่จะกลับมาพัฒนาบ้านเมืองใหม่ แน่นอนว่าถ้าสังเกตให้ดี พลเมืองประเทศนี้ไม่ค่อยเห็นวัยกลางคนเท่าไหร่ ถ้าไม่เด็ก วัยรุ่น ก็จะแก่ไปเลย
เห็นแล้วก็สะท้อนให้นึกถึงประเทศไทย อยากให้ทุกคนได้มาเห็นสภาพ'จริง' ของประเทศแห่งนี้ แล้วจะได้กลับไปคิด เลิกทะเลาะกัน แล้วหันมาพัฒนาประเทศกันดีกว่า
ที่กัมพูชา ทรัพย์สิน ที่ดินของรัฐ ตอนนี้ได้ถูกปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเช่ากันแทบหมดประเทศ สนามบินก็ให้ต่างชาติบริหาร ข้าวปลาอาหารก็นำเข้าเกือบทั้งหมด อุตสาหกรรมในประเทศนี้แทบจะไม่มี จะมีก็เป็นพวกการ์เม้นท์ หรือ SME เล็กๆ (ซึ่งแทบไม่สงสัยเลย เพราะแค่สภาพถนน กับไฟฟ้าที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็เป็นอุปสรรคที่ขวางทางการสร้างโรงงานอย่างเต็มประตูแล้ว) และแน่นอนว่าเมื่อครั้งเหตุการณ์เผาธุรกิจคนไทย การชดเชยของรัฐบาล ส่วนหนึ่งก็คือการให้สิทธิ์ลดภาษี หรือให้เป็นรูปที่ดินให้เช่า เพราะไม่มีเงินจะหมุนให้...
อยากให้ทุกคนที่ได้อ่าน ได้กลับไปคิดสักนิด แล้วหันมามองตัวเราใหม่ และภาวนาให้ประเทศไทยหลุดพ้นวงจรการเมืองอุบาทว์นี่เสียทีเถอะ
(บล็อกนี้เครียดจัง บล็อกหน้าจะปล่อยฮาๆและ ^^)
หลังจากที่ได้ตื่นตาตื่นใจ หลงไปอยู่ในแดนมหัศจรรย์ นครวัด นครธม เมื่อวันก่อน วันนี้ก็ต้องตื่นมาพบความจริงอีกครั้ง เมื่อต้องเดินทางกลับพนมเปญ โดยตอนเช้าไปเที่ยวโตนทะเลสาบก่อน
ยังไงก็รู้สึกน่าเบื่อสุดๆ โดยเฉพาะกับการเดินทาง ที่แม้ระยะทางจะสั้นๆไม่กี่โล ก็ต้องเสียเวลานานเป็นชั่วโมงๆ.
ขากลับจากเสียมเรียบไปพนมเปญคราวนี้ ก็ต้องนั่งรถอีกเจ็ดชั่วโมงตามเคย ซึ่งนี่เป็นสภาพความเป็นจริง ของระบบสาธรณูปโภคของที่นี่ ซึ่งต้องบอกว่า ยังต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกเยอะ ไม่ใช่แค่เรื่องถนนหนทางเท่านั้น ไฟฟ้าก็ยังติดๆดับๆ โรงแรมทุกทีแน่นอนว่าต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองใช้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือที่นี่ต้องปั่นไฟจากน้ำมันเท่านั้น ค่าไฟยูนิตนึงนี่แพงกว่าบ้านเรามาก ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องยอมรับจริงๆว่าค่าครองชีพที่นี่ สูงกว่าที่ไทยเยอะ ในขณะที่ผู้คนส่วนมากของประเทศ มีรายได้ต่ำกว่าเราทั้งนั้น
ขากลับเข้าพนมเปญ ถ้าสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า มีร่องรอยของความเจริญเมื่อครั้งฝรั่งเศสเข้ายึดครองอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นสนามบอลขนาดใหญ่ที่สร้างมาก่อนสนามศุภฯ หรือโรงเรียนที่กระจัดกระจายเต็มเมืองไปหมด (แน่นอนว่าสร้างช่วงฝรั่งเศสครอง) ล้วนเป็นร่องรอยที่บ่งบอกถึงความเจริญว่า พนมเปญสมัยนั้น น่าจะเจริญกว่ากรุงเทพด้วยซ้ำไป
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้พังทลายไปสิ้น เมื่อเขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ...
ขากลับ เราได้แวะคุกโตสะเล (ดูรูปบน) ซึ่งเดิมทีก็เป็นโรงเรียน แต่ได้รับการดัดแปลงเป็นคุก ถึงแม้ปัจจุบัน จะได้เคลียร์สถานที่ให้เข้าชมได้แล้ว แต่ร่องรอยแห่งความหดหู่ยังเต็มโรงเรียนแห่งนี้อยู่
แทบไม่น่าเชื่อว่าโรงเรียนธรรมดาๆโรงเรียนหนึ่ง จะถูกน้ำมือของมนุษย์กระทำได้ถึงขนาดนี้...
เครื่องเล่นออกกำลังกายขนาดใหญ่ ถูกรื้อออกเหมือนเหลือโครงสร้างเหมือนโครงโหนบาร์ ดัดแปลงเป็นเครื่องทรมานนักโทษผูกข้อเท้า ดึงร่างขึ้นไปสูง แล้วปล่อยลงมาให้หัวจมถังน้ำเน่า... ห้องเรียนถูกซอยย่อยเป็นคุกเล็กๆที่แทบจะไม่มีที่จะนั่ง... ภาพเชลยที่ถูกถ่ายไว้ก่อนเข้าคุกที่นี่ ทำให้รู้สึกหดหู่เป็นอย่างที่สุด
เขมรแดงได้ต้อนผู้คนออกจากเมืองไปหมด ด้วยการประกาศข่าวลือว่าอเมริกาจะมาทิ้งบอมบ์ที่นี่ จากนั้น ปัญญาชนทั้งหลาย ครู พ่อค้าแม่ค้า ดารา ถ้าไม่ถูกจับเข้าคุก (ฐานมีอภิสิทธิ์) ก็ต้องถูกผลักไสให้ไปทำนา ส่วนพวกชาวนา ก็เอาเข้ามาอยู่ในเมือง นี่เป็นแนวคิดที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และทำให้ประเทศเขมรต้องสูญสิ้นทุกอย่างที่ได้สร้างมา ขาดผู้เชี่ยวชาญในทุกๆแขนง ในการที่จะกลับมาพัฒนาบ้านเมืองใหม่ แน่นอนว่าถ้าสังเกตให้ดี พลเมืองประเทศนี้ไม่ค่อยเห็นวัยกลางคนเท่าไหร่ ถ้าไม่เด็ก วัยรุ่น ก็จะแก่ไปเลย
เห็นแล้วก็สะท้อนให้นึกถึงประเทศไทย อยากให้ทุกคนได้มาเห็นสภาพ'จริง' ของประเทศแห่งนี้ แล้วจะได้กลับไปคิด เลิกทะเลาะกัน แล้วหันมาพัฒนาประเทศกันดีกว่า
ที่กัมพูชา ทรัพย์สิน ที่ดินของรัฐ ตอนนี้ได้ถูกปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเช่ากันแทบหมดประเทศ สนามบินก็ให้ต่างชาติบริหาร ข้าวปลาอาหารก็นำเข้าเกือบทั้งหมด อุตสาหกรรมในประเทศนี้แทบจะไม่มี จะมีก็เป็นพวกการ์เม้นท์ หรือ SME เล็กๆ (ซึ่งแทบไม่สงสัยเลย เพราะแค่สภาพถนน กับไฟฟ้าที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็เป็นอุปสรรคที่ขวางทางการสร้างโรงงานอย่างเต็มประตูแล้ว) และแน่นอนว่าเมื่อครั้งเหตุการณ์เผาธุรกิจคนไทย การชดเชยของรัฐบาล ส่วนหนึ่งก็คือการให้สิทธิ์ลดภาษี หรือให้เป็นรูปที่ดินให้เช่า เพราะไม่มีเงินจะหมุนให้...
อยากให้ทุกคนที่ได้อ่าน ได้กลับไปคิดสักนิด แล้วหันมามองตัวเราใหม่ และภาวนาให้ประเทศไทยหลุดพ้นวงจรการเมืองอุบาทว์นี่เสียทีเถอะ
(บล็อกนี้เครียดจัง บล็อกหน้าจะปล่อยฮาๆและ ^^)
คำเตือน : บล็อกนี้มีขนาดยาววววววววววววววววววมาก หากจะนั่งอ่าน นั่งดูรูปให้ทั่ว ก็ ทำใจก่อนละกัน 55
และแล้ว วันที่รอคอยก็มาถึง :) การเดินทางเข้าสู่นครวัด นครธม
แต่จุดหมายแรกที่เราจะไป ไม่ใช่นครวัด เนื่องจากช่วงเช้า ถ้าไปนครวัด เวลาถ่ายรูปมันจะย้อนแสง เราจึงไปที่ 'นครธม' เสียก่อน
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่า ใครที่หวังจะได้เกร็ดความรู้ ประวัติศาสตร์อะไรไป คงต้องไปหาอ่านจากที่อื่น เพราะว่าเนื่องจากไกด์เขมรที่พาทัวร์ พูดไทย เหน่อออออสุดๆ เลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเค้าพูดไรกันแน่ (เป็นกฏหมายของที่นี่ว่า คนเขมรจะต้องเป็นไกด์พาชมนครวัดเท่านั้น) ซึ่งตอนเขียนบล็อกนี้ ก็เลยต้องกลับไปค้นพลิกหนังสือมาแทรกเกร็ดความรู้ให้แทน เด๋วจะอธิบายผิดๆ เพราะรายละเอียดมันยุบยับไปหมด
อย่างไรก็ตาม ก็ยังพอมีความรู้ให้อธิบายนิดหน่อยว่า นครวัด ไม่ใช่เมือง แต่เป็นปราสาทที่เรารู้จักกันดีในรูปที่เห็นได้ทั่วไปนั่นแหละ แต่นครธม เป็นเมืองขนาดใหญ่ ภายในมีปราสาทและสิ่งก่อสร้างมากมาย (อาณาจักรนี้ยิ่งใหญ่สุดๆเลยว่ะ) ซึ่งมี 'ปราสาทบายน' สถานที่แรกที่เราจะไป เป็นศูนย์กลางของเมือง
สิ่งแรกที่เป็นก่อนที่จะเข้าเมืองพระนคร คือ โคปุระ หรือซุ้มประตูทางทิศใต้ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของนครธม ยิ่งใหญ่สุดๆอย่างที่เห็นในรูป ด้านข้างก็เป็นกำแพงหินยาวววววววไปเลย ถนนที่เห็นนี่เป็น 'สะพาน' นะ ซึ่งรั้วสะพานก็มีรูปปั้นหิน ฝั่งนึงเป็นเทพ อีกฝั่งเป็นยักษ์ แทนตำนานการกวนเกษียรสมุทร เรื่องเดียวกับที่เห็นที่สุวรรณภูมินั่นแหละ
เป็นไงล่ะลำพังแค่ทางเข้าก็ชวนให้อึ้งแล้วล่ะ คิดเอาเองละกัน ถ้าเราจะจัดกองทัพมาตีเมืองที่เนี่ย เห็นแค่ประตูเมืองก็คงจะถอนใจกลับไปแล้วมั้ง
แล้วก็มาถึงปราสาทบายน ศูนย์กลางแห่งพระนคร... สร้างเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 18 จะว่าไงดีล่ะ มันเล็กกว่านครวัด ความละเอียดก็น้อยกว่าก็จริง แต่ว่า รูปแกะสลักต่างๆนี่ใหญ่ๆและมีเต็มไปหมดเลย ดูรูปจาก slide ก็คงจะพอนึกภาพออก คือ ไม่รู้ว่าจะโฟกัสอะไรดีว่ะ มีแต่หินแกะสลักเต็มพรืดไปหมดเลย หน้าแต่ละหน้าก็มีสีหน้าไม่เหมือนกันนะ บางอันก็ดูน่าเกรงขาม บางอันก็ดูอบอุ่น ลองดูภาพที่เทียบขนาดกับคนดูละกัน ใหญ่จริงๆ
ภายในก็มีหินแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ศัตรูของเขมรสมัยนั้นมักจะเป็นชาวมอญ สยามนี่ยังไม่ต้องพูดถึง ยังไม่มา นอกจากนี้ ยังมีส่วนของวิหารภายในให้บูชาต่างๆ อลังการงานสร้างโคตร โดยรวมแล้วมีความรู้สึกว่าที่นี่ ดูลึกลับมากกว่านครวัดนะ (ซึ่งให้ความรู้สึกใหญ่โตอลังการมากกว่า)
ต่อจากปราสาทบายน เราก็มาที่ ปราสาทตาพรหม หรือที่ทุกคนคงจะคุ้นๆฉากใน Tomb Raider ดี เพราะที่นี่คือปราสาทส่วนที่มีต้นไม้เลื้อยพันเต็มไปหมด ให้บรรยากาศขลังโคตรๆ จากการศึกษาพบว่า ที่นี่เป็นศาสนสถานของพุทธ มีกุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นสถานที่ให้การศึกษา ฟังเทศน์ฟังธรรม ในหนังสือบอกว่า ที่นี่มีพระ นางระบำ ราษฎร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทำงานในนี้ราวแปดหมื่นคน ซึ่งจะว่าไปแล้ว เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนนี่ จะเรียกปราสาทนี้ว่าเป็นเมืองขนาดย่อมๆเลยก็ได้ !!!
ถัดจากความลึกลับที่ปราสาทตาพรหม เราก็เดินทางเป็นระยะทางกว่าสิบกิโลเมตร (แต่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง -_-) ไปที่ ปราสาทบันทายศรี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นรัตนชาติแห่งสถาปัตยกรรมขอม ซึ่งหลังจากไปดูมาแล้ว ก็ต้องยกมือเห็นด้วยเต็มเหนี่ยว เพราะที่นี่ จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆ คือ ถึงจะเล็ก แต่รายละเอียดนี่สุดยอดดดด แทบไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างสลักมาจากหิน ซึ่งหินทรายที่ปราสาทนี้ก็แตกต่างกับที่อื่น ตรงที่เป็นหินทรายเนื้อสีชมพู (ซึ่งหายากมาก) ซึ่งทุกอย่างได้รับการแกะสลักหมด แทบไม่มีหินเรียบๆให้เห็นเลยทั้งปราสาท!!! อยากให้ทุกคนลองคลิกเข้าไป zoom ดูรูปขนาดเต็มๆดูละกัน สุดยอด
หลังจากซัดอาหารไทยสุดอร่อยตอนบ่ายๆแล้ว (ปลาเนื้ออ่อนทอดราดน้ำปลาอร่อยสุดๆ) ก็ได้เวลาไปดู highlight ของวันนี้ นั่นก็คือ นครวัด นั่นเอง แค่ด้านหน้าของนครวัดก็ชวนให้ทึ่งแล้ว ด้วยการขุดสระรอบบริเวณนครวัด นับความยาวรวมได้กว่าห้ากิโล กว้างถึงสองร้อยเมตร ซึ่งเราก็ต้องเดินข้ามสะพานหินที่ทอดยาว เข้าไปสู่กำแพงรอบนอก ซึ่งมีนางอัปสราตัวเดียวในบรรดากว่า 200 ตัวที่ยิ้มเห็นฟันอยู่ :D
จากโคปุระหรือกำแพงชั้นนอก เรายังต้องเดินเข้าไปผ่านทางเดิน ที่ปูด้วยแผ่นหินไปอีกหลายร้อยเมตร จึงจะถึงตัวปราสาทนครวัดจริงๆ ซึ่งภายในปราสาท จะมีระเบียงคดอยู่ถึง 3 ชั้น ซึ่งชั้นแรก มีภาพแกะสลักนูนต่ำที่ยาวที่สุดในโลกอยู่ ซึ่งมีผู้คำนวณไว้แล้วว่า มีพื้นที่มากกว่า 1 ตารางกิโลเมตร! ซึ่งสันนิษฐานว่า จิตรกรรมฝาผนังที่ระเบียงคดวัดพระแก้ว ก็ได้แบบอย่างมาจากที่นี่นั่นเอง
ภาพแกะสลักระเบียงคดที่นี่ ส่วนมากจะเกี่ยวกับศาสนาฮินดู เช่นตำนานการกวนเกษียรสมุทร เทวาสุรสงคราม เรื่องรามเกียรติ์ไปถึงเรื่องราวการศึกสงครามด้วย
จากระเบียงคดชั้นแรก ก็เข้าไปสู่ด้านใน ซึ่งจะมีระเบียงคดชั้นกลาง ซึ่งเชื่อมจากระเบียงชั้นนอกด้วยบันได เมื่อเดินเข้าไปก็จะเป็นลานโล่งๆ ภายในมีบรรณาลัยหรือห้องสมุดอยู่
ภายในระเบียงคดชั้นกลางจะมีรูปแกะสลักของนางอัปสราเต็มไปหมด ซึ่งชั้นนี้ดูเหมือนว่านางอัปสราจะไฮโซกว่าระเบียงด้านนอกนะ เค้าบอกว่า ทีั่ชั้นนี้จะมีนางอัปสราถึงประมาณ 1600-1700 ตน
แต่ที่เป็นไฮไลท์สำหรับเราเองมากสุด คงเป็นการปีนบันไดขึ้นไปสู่ ระเบียงคดชั้นใน ซึ่ง ชันโคตรๆ ชันแค่ไหนก็ดูรูปเอาเองละกัน มีป้าย Climbing At Your Risk ติดไว้ด้วย ซึ่งเมื่อขึ้นไปแล้วก็ โอวว สุดยอดจริงๆ เห็นวิวทั่ว สวยสุดๆ ซึ่งภายในชั้นบนสุด (บากาน) นี้ ก็เหมือนเป็นวัดย่อมๆอะ แบบ ใหญ่จริงๆ ขนาดอยู่สูงขนาดนี้ ไม่รู้สร้างขึ้นมาได้ไง ภายในก็มีพระพุทธรูปให้ศักการะ
(จากรูป วิวจะเห็นระเบียงคดชั้นกลางอยู่ด้านล่าง)
ต้องยอมรับว่า อาณาจักรเขมรโบราณ สมควรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหมู่ปราสาทต่างๆ ที่ยังไงก็แทบจะนึกไม่ออกเลยว่า เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว มนุษย์เราจะสร้างอะไรได้ยิ่งใหญ่ปานนี้ได้อย่างไร ความจริงยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ชวนให้ถึง ไม่ว่าจะเป็นบารายต่างๆรอบเมือง (สระน้ำสำหรับชลประทาน) ซึ่งแต่ละบารายก็ใหญ่โตมโหฬารทั้งนั้น บารายตะวันตกซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้ได้อยู่ มีขนาดยาวเป็นหลายกิโลเมตร ใหญ่กว่าตัวนครธมด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุนี้ พระนครจึงไม่เคยมีปัญหาน้ำท่วมเลยสักครั้ง!!!
แต่อย่างไรก็ตาม ก็แทบไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ จะมีการเสื่อมสลาย จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนชาวกัมพูชายังทุกข์ยากอยู่มาก ในตอนต่อไป เมื่อต้องเดินทางกลับสู่พนมเปญ เราจะมาว่าให้ฟังถึงโลกปัจจุบันแห่งความเป็นจริงของที่นี่ (ยังไม่จบเหรอเนี่ยยยยย โฮ่วว)
และแล้ว วันที่รอคอยก็มาถึง :) การเดินทางเข้าสู่นครวัด นครธม
แต่จุดหมายแรกที่เราจะไป ไม่ใช่นครวัด เนื่องจากช่วงเช้า ถ้าไปนครวัด เวลาถ่ายรูปมันจะย้อนแสง เราจึงไปที่ 'นครธม' เสียก่อน
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่า ใครที่หวังจะได้เกร็ดความรู้ ประวัติศาสตร์อะไรไป คงต้องไปหาอ่านจากที่อื่น เพราะว่าเนื่องจากไกด์เขมรที่พาทัวร์ พูดไทย เหน่อออออสุดๆ เลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเค้าพูดไรกันแน่ (เป็นกฏหมายของที่นี่ว่า คนเขมรจะต้องเป็นไกด์พาชมนครวัดเท่านั้น) ซึ่งตอนเขียนบล็อกนี้ ก็เลยต้องกลับไปค้นพลิกหนังสือมาแทรกเกร็ดความรู้ให้แทน เด๋วจะอธิบายผิดๆ เพราะรายละเอียดมันยุบยับไปหมด
อย่างไรก็ตาม ก็ยังพอมีความรู้ให้อธิบายนิดหน่อยว่า นครวัด ไม่ใช่เมือง แต่เป็นปราสาทที่เรารู้จักกันดีในรูปที่เห็นได้ทั่วไปนั่นแหละ แต่นครธม เป็นเมืองขนาดใหญ่ ภายในมีปราสาทและสิ่งก่อสร้างมากมาย (อาณาจักรนี้ยิ่งใหญ่สุดๆเลยว่ะ) ซึ่งมี 'ปราสาทบายน' สถานที่แรกที่เราจะไป เป็นศูนย์กลางของเมือง
สิ่งแรกที่เป็นก่อนที่จะเข้าเมืองพระนคร คือ โคปุระ หรือซุ้มประตูทางทิศใต้ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของนครธม ยิ่งใหญ่สุดๆอย่างที่เห็นในรูป ด้านข้างก็เป็นกำแพงหินยาวววววววไปเลย ถนนที่เห็นนี่เป็น 'สะพาน' นะ ซึ่งรั้วสะพานก็มีรูปปั้นหิน ฝั่งนึงเป็นเทพ อีกฝั่งเป็นยักษ์ แทนตำนานการกวนเกษียรสมุทร เรื่องเดียวกับที่เห็นที่สุวรรณภูมินั่นแหละ
เป็นไงล่ะลำพังแค่ทางเข้าก็ชวนให้อึ้งแล้วล่ะ คิดเอาเองละกัน ถ้าเราจะจัดกองทัพมาตีเมืองที่เนี่ย เห็นแค่ประตูเมืองก็คงจะถอนใจกลับไปแล้วมั้ง
แล้วก็มาถึงปราสาทบายน ศูนย์กลางแห่งพระนคร... สร้างเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 18 จะว่าไงดีล่ะ มันเล็กกว่านครวัด ความละเอียดก็น้อยกว่าก็จริง แต่ว่า รูปแกะสลักต่างๆนี่ใหญ่ๆและมีเต็มไปหมดเลย ดูรูปจาก slide ก็คงจะพอนึกภาพออก คือ ไม่รู้ว่าจะโฟกัสอะไรดีว่ะ มีแต่หินแกะสลักเต็มพรืดไปหมดเลย หน้าแต่ละหน้าก็มีสีหน้าไม่เหมือนกันนะ บางอันก็ดูน่าเกรงขาม บางอันก็ดูอบอุ่น ลองดูภาพที่เทียบขนาดกับคนดูละกัน ใหญ่จริงๆ
ภายในก็มีหินแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ศัตรูของเขมรสมัยนั้นมักจะเป็นชาวมอญ สยามนี่ยังไม่ต้องพูดถึง ยังไม่มา นอกจากนี้ ยังมีส่วนของวิหารภายในให้บูชาต่างๆ อลังการงานสร้างโคตร โดยรวมแล้วมีความรู้สึกว่าที่นี่ ดูลึกลับมากกว่านครวัดนะ (ซึ่งให้ความรู้สึกใหญ่โตอลังการมากกว่า)
ต่อจากปราสาทบายน เราก็มาที่ ปราสาทตาพรหม หรือที่ทุกคนคงจะคุ้นๆฉากใน Tomb Raider ดี เพราะที่นี่คือปราสาทส่วนที่มีต้นไม้เลื้อยพันเต็มไปหมด ให้บรรยากาศขลังโคตรๆ จากการศึกษาพบว่า ที่นี่เป็นศาสนสถานของพุทธ มีกุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นสถานที่ให้การศึกษา ฟังเทศน์ฟังธรรม ในหนังสือบอกว่า ที่นี่มีพระ นางระบำ ราษฎร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทำงานในนี้ราวแปดหมื่นคน ซึ่งจะว่าไปแล้ว เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนนี่ จะเรียกปราสาทนี้ว่าเป็นเมืองขนาดย่อมๆเลยก็ได้ !!!
ถัดจากความลึกลับที่ปราสาทตาพรหม เราก็เดินทางเป็นระยะทางกว่าสิบกิโลเมตร (แต่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง -_-) ไปที่ ปราสาทบันทายศรี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นรัตนชาติแห่งสถาปัตยกรรมขอม ซึ่งหลังจากไปดูมาแล้ว ก็ต้องยกมือเห็นด้วยเต็มเหนี่ยว เพราะที่นี่ จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆ คือ ถึงจะเล็ก แต่รายละเอียดนี่สุดยอดดดด แทบไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างสลักมาจากหิน ซึ่งหินทรายที่ปราสาทนี้ก็แตกต่างกับที่อื่น ตรงที่เป็นหินทรายเนื้อสีชมพู (ซึ่งหายากมาก) ซึ่งทุกอย่างได้รับการแกะสลักหมด แทบไม่มีหินเรียบๆให้เห็นเลยทั้งปราสาท!!! อยากให้ทุกคนลองคลิกเข้าไป zoom ดูรูปขนาดเต็มๆดูละกัน สุดยอด
หลังจากซัดอาหารไทยสุดอร่อยตอนบ่ายๆแล้ว (ปลาเนื้ออ่อนทอดราดน้ำปลาอร่อยสุดๆ) ก็ได้เวลาไปดู highlight ของวันนี้ นั่นก็คือ นครวัด นั่นเอง แค่ด้านหน้าของนครวัดก็ชวนให้ทึ่งแล้ว ด้วยการขุดสระรอบบริเวณนครวัด นับความยาวรวมได้กว่าห้ากิโล กว้างถึงสองร้อยเมตร ซึ่งเราก็ต้องเดินข้ามสะพานหินที่ทอดยาว เข้าไปสู่กำแพงรอบนอก ซึ่งมีนางอัปสราตัวเดียวในบรรดากว่า 200 ตัวที่ยิ้มเห็นฟันอยู่ :D
จากโคปุระหรือกำแพงชั้นนอก เรายังต้องเดินเข้าไปผ่านทางเดิน ที่ปูด้วยแผ่นหินไปอีกหลายร้อยเมตร จึงจะถึงตัวปราสาทนครวัดจริงๆ ซึ่งภายในปราสาท จะมีระเบียงคดอยู่ถึง 3 ชั้น ซึ่งชั้นแรก มีภาพแกะสลักนูนต่ำที่ยาวที่สุดในโลกอยู่ ซึ่งมีผู้คำนวณไว้แล้วว่า มีพื้นที่มากกว่า 1 ตารางกิโลเมตร! ซึ่งสันนิษฐานว่า จิตรกรรมฝาผนังที่ระเบียงคดวัดพระแก้ว ก็ได้แบบอย่างมาจากที่นี่นั่นเอง
ภาพแกะสลักระเบียงคดที่นี่ ส่วนมากจะเกี่ยวกับศาสนาฮินดู เช่นตำนานการกวนเกษียรสมุทร เทวาสุรสงคราม เรื่องรามเกียรติ์ไปถึงเรื่องราวการศึกสงครามด้วย
จากระเบียงคดชั้นแรก ก็เข้าไปสู่ด้านใน ซึ่งจะมีระเบียงคดชั้นกลาง ซึ่งเชื่อมจากระเบียงชั้นนอกด้วยบันได เมื่อเดินเข้าไปก็จะเป็นลานโล่งๆ ภายในมีบรรณาลัยหรือห้องสมุดอยู่
ภายในระเบียงคดชั้นกลางจะมีรูปแกะสลักของนางอัปสราเต็มไปหมด ซึ่งชั้นนี้ดูเหมือนว่านางอัปสราจะไฮโซกว่าระเบียงด้านนอกนะ เค้าบอกว่า ทีั่ชั้นนี้จะมีนางอัปสราถึงประมาณ 1600-1700 ตน
แต่ที่เป็นไฮไลท์สำหรับเราเองมากสุด คงเป็นการปีนบันไดขึ้นไปสู่ ระเบียงคดชั้นใน ซึ่ง ชันโคตรๆ ชันแค่ไหนก็ดูรูปเอาเองละกัน มีป้าย Climbing At Your Risk ติดไว้ด้วย ซึ่งเมื่อขึ้นไปแล้วก็ โอวว สุดยอดจริงๆ เห็นวิวทั่ว สวยสุดๆ ซึ่งภายในชั้นบนสุด (บากาน) นี้ ก็เหมือนเป็นวัดย่อมๆอะ แบบ ใหญ่จริงๆ ขนาดอยู่สูงขนาดนี้ ไม่รู้สร้างขึ้นมาได้ไง ภายในก็มีพระพุทธรูปให้ศักการะ
(จากรูป วิวจะเห็นระเบียงคดชั้นกลางอยู่ด้านล่าง)
ต้องยอมรับว่า อาณาจักรเขมรโบราณ สมควรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหมู่ปราสาทต่างๆ ที่ยังไงก็แทบจะนึกไม่ออกเลยว่า เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว มนุษย์เราจะสร้างอะไรได้ยิ่งใหญ่ปานนี้ได้อย่างไร ความจริงยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ชวนให้ถึง ไม่ว่าจะเป็นบารายต่างๆรอบเมือง (สระน้ำสำหรับชลประทาน) ซึ่งแต่ละบารายก็ใหญ่โตมโหฬารทั้งนั้น บารายตะวันตกซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้ได้อยู่ มีขนาดยาวเป็นหลายกิโลเมตร ใหญ่กว่าตัวนครธมด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุนี้ พระนครจึงไม่เคยมีปัญหาน้ำท่วมเลยสักครั้ง!!!
แต่อย่างไรก็ตาม ก็แทบไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ จะมีการเสื่อมสลาย จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนชาวกัมพูชายังทุกข์ยากอยู่มาก ในตอนต่อไป เมื่อต้องเดินทางกลับสู่พนมเปญ เราจะมาว่าให้ฟังถึงโลกปัจจุบันแห่งความเป็นจริงของที่นี่ (ยังไม่จบเหรอเนี่ยยยยย โฮ่วว)
หลังจากดองจนเริ่มได้กลิ่น เรามาเริ่มทริปนครวัดกันเถอะครับ!
ถามว่า ทำไมต้องมาเที่ยวที่นี่ อันนี้ เป็นไอเดียของคุณพ่อครับ ตอนแรกก็กะจะไปเชียงใหม่กัน แต่ปรากฏว่าหาที่พักไม่ได้ หวยเลยมาลงที่นี่แทน (ไม่รู้ว่าโยงกันได้ไง) เอาเป็นว่า ได้ไปก็ดีแล้วแหละ ดีกว่าไมไ่ด้ไปไหนเลย
และแล้วเรา็ก็ได้โปรแกรมทัวร์ 4 วัน 3 คืน ช่วงวันหยุดวันพ่อ โดยบินแอร์เอเชียไปลงที่พนมเปญ แล้วค่อยนั่งรถมาที่เสียมเรียบ (ซึ่งเป็นการตัดสินใจที... ไม่น่าเล้ย) เนื่องจากเซฟค่าใช้จ่ายกว่าบิน Bangkok Airways ไปลงตรงๆที่เสียมเรียบเลย (บิน Air asia ค่าตั๋วตกคนละ 3300 แต่ถ้าบิน บางกอกแอร์เวยส์ ประมาณคนละหมื่น) ถามว่า ทำไมไม่มีสายการบินอื่นบินไปลงที่เสียมเรียบ คำตอบก็คือ ทาง บางกอกแอร์เวยส์ ได้ทำ contract กับที่สนามบินเสียมเรียบไว้ เนื่องจากเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางนี้ จึงขอเป็นสายการบินรายเดียว ที่ได้รับสิทธิ์เปิดเส้นทางระหว่างกรุงเทพเข้าเสียมเรียบ
การไปเที่ยวครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้สนามบินสุวรรณภูมิซะด้วย เห็นแล้วก็ หนักใจครับ สนามบินของชาติ แต่ห้องน้ำนี่ห่วยแตกสิ้นดี แถมยัีงมีอะไรที่ไม่เข้าทีเข้าทางอีกเยอะ ไม่รู้ manage กันยังไง งวงช้างโล่งตรึม แต่เครื่องดันไปจอดบัสเกทกันทั้งนั้น
นั่งเครื่องหนึ่งชั่้วโมงก็ถึงพนมเปญครับ สนามบินที่นี่ใหม่สะอาดใช้ได้ มารู้ตอนหลังว่า สนามบินแห่งนี้ เอกชนฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแลซะงั้นแหละครับ และนี่ก็เป็นตัวอย่างแรกๆที่ทำให้รู้ว่า ประเทศกัมพูชานี้ แทบจะไม่เหลืออะไรเป็นของตัวเองแล้ว...
เรามาประเดิมอาหารเช้าที่นี่กันด้วย ...เอ่อ... เรียกไม่ถูกแล้วแฮะ มันเป็นขนมปังฝรั่งเศส (บาเกต) ที่กรอบๆ อร่อยๆ กับไส้อะไรสักอย่าง ก็ โอเช
จากนั้นเราก็ไปที่วังเขมรินทร์กัน ซึ่งก็เหมือนวัดพระแก้วบ้านเรานั่นแหละ สร้างมีหมวดหมู่อาคารลักษณะเดียวกันเลย เพียงแต่... ของเราสวยกว่าเยอะอะนะ เลยเฉยๆมากถึงมากที่สุด
หลังจากจบทริป 'เฉยๆ' ที่พนมเปญแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางสู่เสียมเรียบซะที ด้วยระยะทางเพียงประมาณสามร้อยกิโล (พอๆ กรุงเทพ - หัวหิน) แต่สภาพถนนที่แย่สุดๆ (ลาดยางก็จริง แต่แค่เลนเดียว แถมเป็นหลุมเป็นบ่อ) ทำให้ใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงในการเดินทางไป นั่งกันจนตูดแฉะ คิดดูละำักัน ถนนระหว่างเมืองอันดับหนึ่ง กะสอง ยังเป็นซะอย่างเงี้ยะ ไกด์บอกว่า ถ้านั่งจากตลาดโรงเกลือเข้าเสียมเรียบมา ระยะทางแค่ร้อยห้าสิบโล แต่เป็นลูกรัง เดินทางถึง 7 ชั่วโมง (เอากะมันดิ) ลืมบอกไปว่า ที่นี่ ถ้าไม่ใช่รถ land cruiser หรือ Camry ที่ปรับช่วงล่างของ land cruiser มาใส่แล้ว อย่าหวังว่าจะวิ่งได้ (ดังนั้นจึงเห็นรถอยู่ไม่กี่รุ่น เก๋งนี่ก็มีแค่ camry นั่นแหละ ส่วน trend ที่มาแรงตอนนี้คือ VIGO สีดำ)
นอกจากรถจะต้องดัดแปลงแล้ว คนที่นี่ขับรถกันอย่างเป็นระเบียบสุดๆๆๆๆๆๆๆๆ (ประชดน่ะ) ขับพวงมาลัยซ้ายก็จริง แต่เท่าที่สังเกตดู มันขับทั้งซ้ายทั้งขวาเลยว่ะ เบียดได้เป็นเบียด มอเตอร์ไซค์ไม่ต้องพูดถึง ที่นี่ ถ้าจะให้เท่ห์จริง ต้องไม่ติดกระจกมองหลัง (กูล่ะกลุ้ม) ใครคิดจะมาเปิดบริษัทประกันที่นี่คงต้องคิดเบี้ยไว้สูงชนเพดานแหงม
กว่าจะถึงก็เย็นแล้ว ระหว่างทางไกด์พาไปดู 'สะพานโบราณ' ที่มีเกลื่อนกลาดรอบอาณาเขตเมืองนครวัดแห่งนี้ ที่มีประวัติศาสตร์นับพันปี สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ คิดดูละกัน สมัียนั้น มีเมืองที่มีประชากรถึงหลักล้าน มีระบบชลประทาน ระบบถนน ซึ่งสะพานนี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้า ของอารยธรรมเขมรเป็นอย่างดี ซึ่งมีการตัดถนนจากนครวัด ผ่านไทย (ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีประเทศ) ไปจนถึงพม่าโน่นนน ตลอดช่วงถนน จะมีศาลาให้นักเดินทางได้พักค้างแรมอยู่ตลอด สุดยอดจริงๆ
ดูรูปเอาละกัน ไอ้สะพานโบราณเนี่ย อยู่มาเป็นกี่ร้อยกี่พันปีแล้วก็ไม่รู้ ยังแข็งแรงสุดๆ แต่ก่อนก็เป็นสะพานให้รถวิ่งได้ แต่ตอนหลัง UNESCO สั่งห้ามให้รถวิ่งผ่านเนื่องจากถือเป็นมรดกโลก ตอนนี้เลยมีการตัดถนนเบี่ยงออกไปแทน แต่เท่าที่ดู... ถึงเอารถสิบล้อมาวิ่ง มันก็ยังอยู่ได้อีกนานนะ แข็งแรงซะอย่างเงี้ยะ
ตกเย็นก็กินอาหารสไตล์ฮ่องกง ทัวร์ครั้งนี้ขอบอกว่า กินแบบ เหลือทิ้งเหลือขว้างมาก สั่งมาแบบว่า โคตรเยอะอะ กินยังไงก็ไม่หมด อาหารเขมรนี่จะเน้นหวานสุดๆ ไม่รู้จะหวานไปถึงไหน ซุปก็หวาน ไก่ผัดก็หวาน ไกด์บอกว่า คนที่นี่ กิน ฝอยทอง ใส่น้ำแข็ง ราดน้ำเชื่อม ... ก็คิดดูละกันว่ากินหวานกันขนาดไหน -_-
แล้วก็จบหนึ่งวันที่ทรหด (ที่อ่านดูไม่ค่อยรันทดเท่าไหร่ก็เพราะ ขี้เกียจบ่นให้ฟังว่านั่งรถนี่มันเมื่อยขนาดไหน) แล้วค่อยมาต่อกันคราวหน้า กับวันที่ 2 ที่ได้เที่ยวนครวัดจริงๆซะที ^^
ถามว่า ทำไมต้องมาเที่ยวที่นี่ อันนี้ เป็นไอเดียของคุณพ่อครับ ตอนแรกก็กะจะไปเชียงใหม่กัน แต่ปรากฏว่าหาที่พักไม่ได้ หวยเลยมาลงที่นี่แทน (ไม่รู้ว่าโยงกันได้ไง) เอาเป็นว่า ได้ไปก็ดีแล้วแหละ ดีกว่าไมไ่ด้ไปไหนเลย
และแล้วเรา็ก็ได้โปรแกรมทัวร์ 4 วัน 3 คืน ช่วงวันหยุดวันพ่อ โดยบินแอร์เอเชียไปลงที่พนมเปญ แล้วค่อยนั่งรถมาที่เสียมเรียบ (ซึ่งเป็นการตัดสินใจที... ไม่น่าเล้ย) เนื่องจากเซฟค่าใช้จ่ายกว่าบิน Bangkok Airways ไปลงตรงๆที่เสียมเรียบเลย (บิน Air asia ค่าตั๋วตกคนละ 3300 แต่ถ้าบิน บางกอกแอร์เวยส์ ประมาณคนละหมื่น) ถามว่า ทำไมไม่มีสายการบินอื่นบินไปลงที่เสียมเรียบ คำตอบก็คือ ทาง บางกอกแอร์เวยส์ ได้ทำ contract กับที่สนามบินเสียมเรียบไว้ เนื่องจากเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางนี้ จึงขอเป็นสายการบินรายเดียว ที่ได้รับสิทธิ์เปิดเส้นทางระหว่างกรุงเทพเข้าเสียมเรียบ
การไปเที่ยวครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้สนามบินสุวรรณภูมิซะด้วย เห็นแล้วก็ หนักใจครับ สนามบินของชาติ แต่ห้องน้ำนี่ห่วยแตกสิ้นดี แถมยัีงมีอะไรที่ไม่เข้าทีเข้าทางอีกเยอะ ไม่รู้ manage กันยังไง งวงช้างโล่งตรึม แต่เครื่องดันไปจอดบัสเกทกันทั้งนั้น
นั่งเครื่องหนึ่งชั่้วโมงก็ถึงพนมเปญครับ สนามบินที่นี่ใหม่สะอาดใช้ได้ มารู้ตอนหลังว่า สนามบินแห่งนี้ เอกชนฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแลซะงั้นแหละครับ และนี่ก็เป็นตัวอย่างแรกๆที่ทำให้รู้ว่า ประเทศกัมพูชานี้ แทบจะไม่เหลืออะไรเป็นของตัวเองแล้ว...
เรามาประเดิมอาหารเช้าที่นี่กันด้วย ...เอ่อ... เรียกไม่ถูกแล้วแฮะ มันเป็นขนมปังฝรั่งเศส (บาเกต) ที่กรอบๆ อร่อยๆ กับไส้อะไรสักอย่าง ก็ โอเช
จากนั้นเราก็ไปที่วังเขมรินทร์กัน ซึ่งก็เหมือนวัดพระแก้วบ้านเรานั่นแหละ สร้างมีหมวดหมู่อาคารลักษณะเดียวกันเลย เพียงแต่... ของเราสวยกว่าเยอะอะนะ เลยเฉยๆมากถึงมากที่สุด
หลังจากจบทริป 'เฉยๆ' ที่พนมเปญแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางสู่เสียมเรียบซะที ด้วยระยะทางเพียงประมาณสามร้อยกิโล (พอๆ กรุงเทพ - หัวหิน) แต่สภาพถนนที่แย่สุดๆ (ลาดยางก็จริง แต่แค่เลนเดียว แถมเป็นหลุมเป็นบ่อ) ทำให้ใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงในการเดินทางไป นั่งกันจนตูดแฉะ คิดดูละำักัน ถนนระหว่างเมืองอันดับหนึ่ง กะสอง ยังเป็นซะอย่างเงี้ยะ ไกด์บอกว่า ถ้านั่งจากตลาดโรงเกลือเข้าเสียมเรียบมา ระยะทางแค่ร้อยห้าสิบโล แต่เป็นลูกรัง เดินทางถึง 7 ชั่วโมง (เอากะมันดิ) ลืมบอกไปว่า ที่นี่ ถ้าไม่ใช่รถ land cruiser หรือ Camry ที่ปรับช่วงล่างของ land cruiser มาใส่แล้ว อย่าหวังว่าจะวิ่งได้ (ดังนั้นจึงเห็นรถอยู่ไม่กี่รุ่น เก๋งนี่ก็มีแค่ camry นั่นแหละ ส่วน trend ที่มาแรงตอนนี้คือ VIGO สีดำ)
นอกจากรถจะต้องดัดแปลงแล้ว คนที่นี่ขับรถกันอย่างเป็นระเบียบสุดๆๆๆๆๆๆๆๆ (ประชดน่ะ) ขับพวงมาลัยซ้ายก็จริง แต่เท่าที่สังเกตดู มันขับทั้งซ้ายทั้งขวาเลยว่ะ เบียดได้เป็นเบียด มอเตอร์ไซค์ไม่ต้องพูดถึง ที่นี่ ถ้าจะให้เท่ห์จริง ต้องไม่ติดกระจกมองหลัง (กูล่ะกลุ้ม) ใครคิดจะมาเปิดบริษัทประกันที่นี่คงต้องคิดเบี้ยไว้สูงชนเพดานแหงม
กว่าจะถึงก็เย็นแล้ว ระหว่างทางไกด์พาไปดู 'สะพานโบราณ' ที่มีเกลื่อนกลาดรอบอาณาเขตเมืองนครวัดแห่งนี้ ที่มีประวัติศาสตร์นับพันปี สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ คิดดูละกัน สมัียนั้น มีเมืองที่มีประชากรถึงหลักล้าน มีระบบชลประทาน ระบบถนน ซึ่งสะพานนี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้า ของอารยธรรมเขมรเป็นอย่างดี ซึ่งมีการตัดถนนจากนครวัด ผ่านไทย (ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีประเทศ) ไปจนถึงพม่าโน่นนน ตลอดช่วงถนน จะมีศาลาให้นักเดินทางได้พักค้างแรมอยู่ตลอด สุดยอดจริงๆ
ดูรูปเอาละกัน ไอ้สะพานโบราณเนี่ย อยู่มาเป็นกี่ร้อยกี่พันปีแล้วก็ไม่รู้ ยังแข็งแรงสุดๆ แต่ก่อนก็เป็นสะพานให้รถวิ่งได้ แต่ตอนหลัง UNESCO สั่งห้ามให้รถวิ่งผ่านเนื่องจากถือเป็นมรดกโลก ตอนนี้เลยมีการตัดถนนเบี่ยงออกไปแทน แต่เท่าที่ดู... ถึงเอารถสิบล้อมาวิ่ง มันก็ยังอยู่ได้อีกนานนะ แข็งแรงซะอย่างเงี้ยะ
ตกเย็นก็กินอาหารสไตล์ฮ่องกง ทัวร์ครั้งนี้ขอบอกว่า กินแบบ เหลือทิ้งเหลือขว้างมาก สั่งมาแบบว่า โคตรเยอะอะ กินยังไงก็ไม่หมด อาหารเขมรนี่จะเน้นหวานสุดๆ ไม่รู้จะหวานไปถึงไหน ซุปก็หวาน ไก่ผัดก็หวาน ไกด์บอกว่า คนที่นี่ กิน ฝอยทอง ใส่น้ำแข็ง ราดน้ำเชื่อม ... ก็คิดดูละกันว่ากินหวานกันขนาดไหน -_-
แล้วก็จบหนึ่งวันที่ทรหด (ที่อ่านดูไม่ค่อยรันทดเท่าไหร่ก็เพราะ ขี้เกียจบ่นให้ฟังว่านั่งรถนี่มันเมื่อยขนาดไหน) แล้วค่อยมาต่อกันคราวหน้า กับวันที่ 2 ที่ได้เที่ยวนครวัดจริงๆซะที ^^
หลังจากนั่ง ๆ นอนๆ กินๆ มั่วๆมากว่าสามวัน ในที่สุดโฉมใหม่ของ {J}aroz' Blog : Revolution!ก็ได้ฤกษ์ออกมารับกับปีใหม่ปีหมูพอดี
นับว่าเปลี่ยนใหม่แบบแทบไม่เหลือเค้าเดิม เปลี่ยนโทนสีใหม่ให้ดูสดใสมากขึ้น ฟ้อนต์ใหม่ที่เล็กกว่าเดิม (จะได้ไม่ดูยาวเกินไปไง 55) เปลี่ยน format ของ archive ให้สั้นๆ รองรับกับบล็อกใหม่ๆได้อีกนาน
ที่น่าจะโดนมากสุดคือ comment ที่จะแสดงต่อท้ายทุกบล็อกที่อัพไว้เลย ไม่ต้องคลิกแยกต่างหากอีกแล้ว
ส่วน feature search ของ google ที่แนบมา ตอนนี้ยังเอ๋อๆ ทำได้แต่ภาษาอังกฤษ (แหะๆ) ไม่รู้แก้ไงเหมือนกัน พยายามนั่งดูโค้ดและ ไม่ไหวๆ (ใครจะยื่นมือมาช่วยก็ได้นะ)
ส่วนภาพ theme ด้านบน อันใหม่นี้ต้องขอยอมรับว่า อาจจะดูรกๆมาก เพราะว่า คลิกไปคลิกมาก็มีแต่ภาพที่อยากจะยัดลงทั้งนั้นเลย ผลก็เลยเป็นอย่างเงี้ยะ แต่ก็ ยังดูสดใสรับกับบล็อกดีน่าา ลองเพ่งดูเดะ ว่ามีอะไร จะเห็นตั้งแต่ ซูชิ นครวัด เซน เครื่องซักผ้า โรงแรมปารีส ยันทำเนียบขาว (ความจริงอยากลง grand canyon นะ แต่หาที่ลงไม่ได้ มันเปนผาสีแดง ๆ ปื้ดๆ ไม่รู้จะยัดลงไหนดี)
อ้อ version นี้ BEST VIEW ON FIREFOX นะครับ
เฮ่อ เสร็จไปงานนึง เด๋วว่างๆคงได้อัพบล็อกนครวัดต่อ แต่อย่างไรก็ตาม ต้อง HAPPY NEW YEAR ให้แก่เพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาดูนะ ปีนี้ขอภาวนาให้ประเทศไทย จบสิ้นความวุ่นวายเสียที ต้องบอกจริงๆว่า น่าจะจับไอ้คนที่คิดชั่วทั้งหลาย ไปอยู่ประเทศที่คนขัดแย้งจนทำประเทศล่มจมไปแล้ว (อย่างเขมร เป็นต้น) จะได้รู้สำนึกว่า เราควรที่จะจับมือกัน พัฒนาประเทศของเราได้แล้ว เอาแต่กัดกัน โยนความผิดไปโน่นนี่ซะงั้น
สวัสดีปีใหม่ 2550 ครับ
ทิ้งท้ายด้วย อดีตรูปประจำธีม (โดยเฉพาะธีมอังกฤษ ที่รับใช้มาปีกว่าๆ) ให้ระลึกกันเล่นๆ ^^
นับว่าเปลี่ยนใหม่แบบแทบไม่เหลือเค้าเดิม เปลี่ยนโทนสีใหม่ให้ดูสดใสมากขึ้น ฟ้อนต์ใหม่ที่เล็กกว่าเดิม (จะได้ไม่ดูยาวเกินไปไง 55) เปลี่ยน format ของ archive ให้สั้นๆ รองรับกับบล็อกใหม่ๆได้อีกนาน
ที่น่าจะโดนมากสุดคือ comment ที่จะแสดงต่อท้ายทุกบล็อกที่อัพไว้เลย ไม่ต้องคลิกแยกต่างหากอีกแล้ว
ส่วน feature search ของ google ที่แนบมา ตอนนี้ยังเอ๋อๆ ทำได้แต่ภาษาอังกฤษ (แหะๆ) ไม่รู้แก้ไงเหมือนกัน พยายามนั่งดูโค้ดและ ไม่ไหวๆ (ใครจะยื่นมือมาช่วยก็ได้นะ)
ส่วนภาพ theme ด้านบน อันใหม่นี้ต้องขอยอมรับว่า อาจจะดูรกๆมาก เพราะว่า คลิกไปคลิกมาก็มีแต่ภาพที่อยากจะยัดลงทั้งนั้นเลย ผลก็เลยเป็นอย่างเงี้ยะ แต่ก็ ยังดูสดใสรับกับบล็อกดีน่าา ลองเพ่งดูเดะ ว่ามีอะไร จะเห็นตั้งแต่ ซูชิ นครวัด เซน เครื่องซักผ้า โรงแรมปารีส ยันทำเนียบขาว (ความจริงอยากลง grand canyon นะ แต่หาที่ลงไม่ได้ มันเปนผาสีแดง ๆ ปื้ดๆ ไม่รู้จะยัดลงไหนดี)
อ้อ version นี้ BEST VIEW ON FIREFOX นะครับ
เฮ่อ เสร็จไปงานนึง เด๋วว่างๆคงได้อัพบล็อกนครวัดต่อ แต่อย่างไรก็ตาม ต้อง HAPPY NEW YEAR ให้แก่เพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาดูนะ ปีนี้ขอภาวนาให้ประเทศไทย จบสิ้นความวุ่นวายเสียที ต้องบอกจริงๆว่า น่าจะจับไอ้คนที่คิดชั่วทั้งหลาย ไปอยู่ประเทศที่คนขัดแย้งจนทำประเทศล่มจมไปแล้ว (อย่างเขมร เป็นต้น) จะได้รู้สำนึกว่า เราควรที่จะจับมือกัน พัฒนาประเทศของเราได้แล้ว เอาแต่กัดกัน โยนความผิดไปโน่นนี่ซะงั้น
สวัสดีปีใหม่ 2550 ครับ
ทิ้งท้ายด้วย อดีตรูปประจำธีม (โดยเฉพาะธีมอังกฤษ ที่รับใช้มาปีกว่าๆ) ให้ระลึกกันเล่นๆ ^^
บายๆ ไล่หลังละกัน
ไปดีมาดีนะ